ไข้สมองอักเสบ โรคร้ายต้อนรับปี 2010


โรค

ไข้สมองอักเสบ โรคร้ายต้อนรับปี 2010 (สสส.)

ป้องกันได้แค่ใส่ใจสุขภาพ

          จะ เป็นอย่างไร หากของขวัญวันต้อนรับปีใหม่ ปี 2010 เป็นสารพัดโรคร้ายที่รอต้อนรับมนุษย์โลกอย่างเรา ๆ อยู่ โดยเฉพาะเจ้าโรคร้ายอย่าง "ไข้สมองอักเสบ" ที่มีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2010 นี้จะกลับมาระบาดอีกระลอก!

          เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกฯ ที่ออกมาบอกว่า ในปี 2553 โรค ไข้สมองอักเสบจะเป็นโรคที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า โรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำกว่าร้อยละ 50 ล้วนส่งผลให้เกิดไข้สมองอักเสบ ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า อาการของโรคที่เกิดจากไวรัสจะไม่แสดงอาการเหมือนเดิม แต่จะแสดงอาการด้วยไข้สมองอักเสบแทน

          "นอก จากนี้ โรคสมองอักเสบจากไวรัสชานดิปุระ ยังเป็นเชื้อไวรัสที่ต้องระวัง เนื่องจากในอดีตถือเป็นไวรัสไม่อันตราย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว แต่จะดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ โดยก่อนหน้านี้เชื้อดังกล่าวติดต่อจากละอองน้ำลายของวัว ควาย หมู ม้ามาสู่คนโดยตรง แต่หลังจากมีตัวริ้นเป็นตัวกลางนำเชื้อมาสู่คนอีกทอดหนึ่ง กลับทำให้เชื้อมีความรุนแรงขึ้น อย่างล่าสุดในอินเดียเมื่อปี 2546-2549 พบผู้เสียชีวิต 232 ราย ขณะที่ประเทศอื่น ไม่มีผู้เสียชีวิต อีกทั้ง โรคไข้เลือดออก เป็นอีกโรคที่จะไม่แสดงอาการเหมือนเดิม เพราะเมื่อเร็วๆนี้ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ พบผู้ป่วยไข้เลือดออก ไม่มีอาการของรอยจ้ำแดง ๆ บนผิวหนัง แต่กลับพบอาการสมองอักเสบร่วม" นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวด้วยความเป็นห่วง

          ว่าแต่!! เจ้าโรคไข้สมองอักเสบนี่คืออะไรกันนะ...มาทำความรู้จักเจ้าโรคนี้กันดีกว่า

          เจ้าโรคไข้สมองอักเสบ เกิดจากการอักเสบของเนื้อสมองทั่ว ๆ ไป หรือเฉพาะบางส่วนจากเชื้อไวรัส เนื่องจากเนื้อสมองอยู่ติดกับเยื่อหุ้มสมอง จึงอาจพบการอักเสบของเยื้อหุ้มสมองร่วมกับการอักเสบของสมองด้วยได้ โรคนี้มีมีความสำคัญเนื่องจากเมื่อเป็นแล้วมีอัตราการตายสูง หากรอดชีวิตมักมีความพิการหรือผิดปกติทางสมองตามมา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก สภาวะอากาศ ฤดูกาลโอกาสในการสัมผัสกับสัตว์นำโรค และภูมิต้านทานของผู้ป่วย

          สำหรับประเทศไทย เชื้อไวรัสที่ชื่อ เจอี (Japanese B encephalitis) เป็นสาเหตุการติดเชื้อไวรัสในสมองที่พบบ่อยที่สุด ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยไข้สมองอักเสบเกิดจากเชื้อเจอี โรคนี้พบได้ทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งเขตชานเมืองของกรุงเทพฯ เชื้อไวรัสอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุ เช่น เอนเทอโรไวรัส(enterovirus) , เชื้อโรคมือ เท้า ปาก (อีวี 71) , เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า , เชื้อหัด , เชื้อเริม (Herpes simplex virus) , เชื้ออีสุกอีใส , เชื้อคางทูม , เชื้อเอดส์ , เชื้อนิปาห์ เป็นต้น

          เมื่อ หลังจากโดนยุงที่มีเชื้อกัด จะมีเชื้อเข้าไปในร่างกายของคนและเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนมากพอที่จะทำให้เกิดอาการของโรค คือทำให้สมองและเยื้อหุ้มสมองอักเสบระยะนี้คือระยะฟักตัว กินเวลา 7 – 10 วัน หรืออาจนานถึง 2 สัปดาห์ เชื้อไวรัสเจอีจะอยู่ในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะลูกหมู เนื่องจากลูกหมูที่หย่านมแม่นาน 1 เดือน ภูมิคุ้มกันจากแม่จะเริ่มหมดไป เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดลูกหมูเชื้อสามารถอยู่ในลูกหมูได้นาน โดยลูกหมูไม่มีอาการ เมื่อยุงตัวอื่นกัดลูกหมูที่มีเชื้อ ยุงนั้นก็จะสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ ลูกหมูจึงเป็นตัวกระจายเชื้อที่สำคัญ นอกจากนี้ วัว ควาย ม้า ลา แพะ แกะ ค้างคาว ก็เป็นแหล่งแพร่เชื้อได้

          ลองมาสังเกตอาการกันดูว่า คนที่ป่วยโรคไข้สมองอักเสบจะมีอาการอย่างไร…

          อาการ ของผู้ป่วยมีด้วยกัน 2 ลักษณะ คือ ติดเชื้อเฉียบพลัน อาการเปลี่ยนแปลงภายใน 1 สัปดาห์ อาทิ มีไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร กลัวแสง คอแข็ง ชัก พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง และซึม ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นเรื้อรัง อาการจะแสดงอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจมีไข้หรือไม่มีก็ได้ การดำเนินโรคช้าแต่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น หากมีอาการต่าง ๆ ข้างบนนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที

          เป็นที่น่าเสียดาย ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสส่วนใหญ่ ยกเว้น เชื้อเริม (Herpes simplex virus) ซึ่งมียาอะไซโคลเวียรักษาได้ แต่ต้องให้ในระยะเริ่มแรกของโรคจึงได้ผลดี นอกจากนี้สมองอักเสบจากไข้รากสาดใหญ่มียาที่ใช้รักษาได้ เชื้ออื่น ๆ ยังไม่มียาที่รักษาได้ผลแน่นอน ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาระงับ ยาช่วยลดอาการบวมของสมอง ช่วยการหายใจแก้ภาวะเกลือแร่ไม่สมดุล รักษาภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ภายหลังการป่วยเป็นไข้สมองอักเสบ ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการไม่รุนแรงอาจหายเป็นปกติได้ แต่ผู้ป่วยส่วนมากที่มีอาการรุนแรงอาจเสียชีวิต หรือในกรณีที่รอดชีวิตมักมีความพิการทางสมองหลงเหลืออยู่ เช่น ชัก อัมพาต ปัญญาอ่อน พฤติกรรมและอารมณ์เปลี่ยนแปลง พูดไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจ บางรายอาจกลายเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทราไปเลยก็ได้!!

          อย่าง ไรก็ตาม การป้องกันไว้ก่อน เป็นสิ่งที่ดีที่สุด...เพราะโรคนี้รักษายาก การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โรคไข้สมองอักเสบส่วนใหญ่ป้องกันได้ ในปัจจุบันมีวิธีป้องกันที่สำคัญ 2 วิธี ได้แก่ การฉีดวัคซีน และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อโรค วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคสมองอักเสบในปัจจุบัน ได้แก่วัคซีนป้องกันเชื้อเจอีซึ่งแนะนำให้แก่เด็กไทยทุกคน วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบจากพิษสุนัขบ้า โดยฉีดวัคซีนป้องกันก่อนหรือหลังสัมผัสโรค วัคซีนป้องกันหัด วัคซีนป้องกันโรคคางทูม วัคซีนป้องกันโรคสุกใส เป็นต้น

          ส่วนวิธีป้องกันอีกวิธี คือ การดูแลสุขอนามัยเบื้องต้น โดยการล้างมือทุกครั้ง เมื่อสัมผัสกับจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอย่างลูกบิด ราวบันได นอกจากนี้ยังควรใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่ทานอาหารร่วมกับผู้อื่น แยกของใช้ภาชนะบริโภค และป้องกันไม่ให้ยุงกัด เป็นต้น

          ไม่เพียงเท่านี้ โรคร้ายอย่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็ยังไม่ลาจากไปไหน ยังอยู่คู่คนไทยไปถึงปีหน้าฟ้าใหม่เลยทีเดียว เพราะจากการคาดการณ์ของผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกฯ พบว่า สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ยังต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า ผู้ป่วยที่เป็นแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำอีกรอบ

          นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะจะปลดปล่อยไวรัสได้นานขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม และแข็งแรงขึ้น จนเกิดการดื้อยา อย่างที่ประเทศอังกฤษเกิดขึ้นแล้ว 6 ราย! ส่วนวิธีการป้องกันการระบาดของหวัด 2009 คงเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำหรือเปล่า!

          นอก จากนี้เจ้าโรคไข้หวัดใหญ่ ที่เป็นเหมือนเพื่อนเกลอของมนุษย์มาช้านาน ยังอาจกลับมาระบาดอีกระลอก โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่อาจจะรุนแรงและมีการระบาดได้มากขึ้น แม้ว่าเด็กบางคนอาจจะเคยเป็นโรคนี้มาก่อนแล้ว ก็สามารถเป็นอีกได้ เพราะทุก ๆ ปี ไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ที่เป็นชนิดเอ จะมีการพัฒนาตัวเอง ทำให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายของเราจำเจ้าเชื้อตัวนี้ไม่ได้ เมื่อได้รับเชื้อมาก็สามารถทำให้เราป่วยได้อีก และแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคที่รุนแรงมากนัก แต่เป็นโรคที่มีผลกระทบ เพราะทำให้ไม่สบายอยู่หลายวัน โดยเฉพาะในเด็กเล็กซึ่งมีภาวะเสี่ยง อาจจะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

          เจ้าโรคไข้เลือดออกก็ไม่น้อยหน้า เฝ้ารอเวลาที่จะกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ระบบการกำจัดลูกน้ำยุงลายไม่ดี มีการก่อสร้างตลอดเวลา และมีน้ำขังตามที่ต่าง ๆ ก็จะมีปัญหาการระบาดของโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ...ยังค่ะ ยังไม่หมด เพราะสมาคมโรคอัลไซเมอร์สากล ยังออกมาเปิดเผยรายงานอีกว่า ทางสมาคมฯได้ทำการประเมินว่า ก่อนปี 2010 ทั่วโลกจะมีประชากรป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อม เป็นจำนวนกว่า 35 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 65.7 ก่อนปี 2030 และขยับเพิ่มขึ้นเป็น 115.4 ล้านคน ก่อนปี 2050!

          จำนวนตัวเลขของแต่ละโรคที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะสามารถลดลงได้ถ้าทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเอง…!!!

          เพราะ สุขภาพที่ดี จะเป็นเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญที่สุด ดังนั้น ในปี 2010 ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจในการส่งเสริมการปฏิวัติสุขภาพใหม่ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ... ให้ปีใหม่ปีนี้ เป็นปีแห่งการเริ่มต้นสร้างเสริมสุขภาพที่ดีค่ะ

http://health.kapook.com/view8859.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก