หลากคำถามเรื่อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ของฝากจากกิ๊ก (Lisa)

          อย่าชะล่าใจ โรคเอดส์ระบาดมากขึ้น หรือการรีเทิร์นของโรคติดต่ออื่น ๆ จากเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน เริม หิด โลน และช่องคลอดอักเสบ ฯลฯ

          วันนี้มีเรื่องราวของโรคต่าง ๆ ที่ติดต่อได้จากเพศสัมพันธ์เพื่อให้ทุกคนตระหนักว่า การใช้กิ๊กเปลืองนั้นอันตรายอยู่แค่เอื้อม

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเลือด นอกจากเอดส์แล้ว ยังมีโรคอื่นอีกไหม

          นอกจากเอดส์แล้ว ก็มีหลายโรคที่ติดต่อได้ทางเลือด เช่น ซิฟิลิส (แผลริมแข็ง) ไวรัสตับอักเสบบีและซี โรคเหล่านี้สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ป้องกันด้วยการสวมใส่ถุงยางอนามัย เพราะติดต่อได้ทางสารคัดหลั่ง และยังสามารถติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ ทางเลือด เข็มฉีดยา การเจาะหรือสักตามร่างกายที่ไม่สะอาด ส่วนตับอักเสบบีติดต่อได้ทางน้ำลาย หากกินอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกันก็ติดต่อได้

อาการของซิฟิลิส (แผลริมแข็ง) เป็นอย่างไร

          โรคนี้เกิดจากเชื้อ Treponema Pallidum โดยผู้ป่วยจะมีอาการหลายแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะของโรคดังนี้

          ระยะที่ 1 เชื้อจะเข้าทางเยื่อบุ หรือรอยถลอก รอยแผลที่ผิวหนัง โดยเริ่มจากตุ่มเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผลใหญ่ขึ้น ซึ่งมักพบที่อวัยวะเพศ โดยมีขอบนูนแข็งไม่เจ็บ แผลดูสะอาด

          ระยะที่ 2 หลังจากระยะแรก 6-8 สัปดาห์ เชื้อจะกระจายไปตามกระแสเลือด เกิดอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดตามตัว อาเจียน เบื่ออาหาร มีต่อมน้ำเหลืองโต และมีผื่นตามตัว ผมร่วง

          ระยะที่ 3 เป็นระยะแฝง คือบังเอิญตรวจเลือดพบโดยไม่มีอาการใด ๆ

          ระยที่ 4 มีก้อนตามผิวหนังหรืออวัยวะภายใน หรือมีอาการผิดปกติทั้งระบบประสาท นอกจากนี้ ถ้าสตรีตั้งครรภ์เป็นโรคนี้ จะทำให้บุตรในครรภ์ผิดปกติ หรือเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ก็ได้

แล้วมีวิธีป้องกันโรคซิฟิลิสอย่างไร

          โรคซิฟิลิสเป็นโรคที่ตรวจพบได้โดยไม่มีอาการ และสามารถติดต่อได้ ดังนั้น การป้องกันคือ ตรวจเลือดของคู่นอนก่อนมีเพศสัมพันธ์ หรือก่อนแต่งงาน ถ้าพบก็ควรรักษาให้หายขาดก่อน โดยการฉีดยากลุ่มเพนิซิลลิน ระยะเวลาการรักษาขึ้นกับระยะของโรค

อยากทราบว่า โรคแผลริมอ่อนเกิดจากอะไร

          เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi แผลจะมีตุ่มแดง หนองแตกเป็นแผล และเจ็บมาก ขอบแผลกะรุ่งกะริ่ง ก้นแผลสกปรก มีหลายแผล เชื้ออาจลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตได้

หนองในแท้และหนองในเทียมคืออะไร และต่างกันอย่างไร

          โรคหนองในแท้เกิดจากการติดต่อทางการสัมผัส โดยเชื้อ Neisseria Gonorrhoeae อาการจะขึ้นกับตำแหน่งที่ติดเชื้อ ถ้าติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะจะทำให้มีหนองออกมาจากท่อปัสสาวะ ถ้าติดเชื้อที่ปากมดลูกจะมีตกขาวเป็นหนอง ปวดท้องน้อยได้ นอกจากนี้ยังติดที่ทวารหนัก ในลำคอ หรือที่เยื่อบุตา ทำให้เกิดการอักเสบเป็นหนองได้

          ส่วนหนองในเทียมเกิดจากเชื้ออื่น ๆ หลายตัวที่ไม่ใช่โกนอร์เรีย อาการคล้ายกันแต่รุนแรงน้อยกว่า

การใช้ถุงยางอนามัย สามารถป้องกันโรคใดได้บ้าง

          โรคเอดส์ ตับอักเสบบี หนองในแท้ หนองในเทียม เพราะโรคพวกนี้ติดต่อทางสารคัดหลั่ง ส่วนโรคที่ติดต่อทางการสัมผัส หรือรอยแผล เช่น ซิฟิลิส แผลริมอ่อน เริม หูดหงอนไก่ ไม่สามารถป้องกันโดยถุงยางอนามัยได้ 100% เพราะรอยโรคอาจอยู่บริเวณที่ถุงยางไม่ครอบคลุม เช่น หัวเหน่า หรือถุงอัณฑะ

โรคที่เกิดจากแมลงที่บริเวณนี้มีอะไรบ้าง

          โรคที่เกิดจากตัวแมลงที่บริเวณนี้คือ หิดและโลน ติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการสัมผัส โดยตัวโลนจะเป็นแมลงไร้ปีก ตัวเล็กขนาด 1-2 มิลลิเมตร เกาะเส้นขนที่หัวเหน่า คอยดูดเลือดกิน จะทำให้เกิดรอยคัน ตุ่มแดง ถ้าเกาอาจอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียร่วม อาจพบที่ขนบริเวณอื่น เช่น รักแร้ หน้าอก ขนตา ขนคิ้ว

          ส่วนหิดเกิดจากตัวไรที่เล็กมาก ติดต่อโดยการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคหิด จะมีอาการคันมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน มีตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแดง

กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลืองเป็นอย่างไร และติดต่อกันทางใดได้บ้าง

          โรคฝีมะม่วงเกิดจากเชื้อ Chlamydia Trachomatis โดยเชื้อจะเข้าตามรอยถลอกเล็ก ๆ ที่ผิวหนัง แผลมักหายเร็วจึงมักไม่ค่อยสังเกตว่ามีแผล จากนั้นเชื้อจะลามตามท่อน้ำเหลือง กลายเป็นฝีที่บริเวณขาหนีบ ติดต่อทางการสัมผัสหนองจากแผล รักษาโดยเจาะดูดหนองที่ฝี การใช้ยารักษา โรคสามารถติดต่อได้ 30 วันก่อนที่จะเกิดอาการ ดังนั้น ผู้ที่มีคู่นอนที่มีอาการของโรคนี้ต้องรีบพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

กามโรคชนิดใดที่รักษาได้ยากในผู้หญิง

          โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสจะรักษาไม่หายขาด หรือรักษายาก เช่น เอดส์ ตับอักเสบบีและซี โรคเริม ส่วนหูดต่าง ๆ หายขนาดได้ แต่ต้องใช้เวลานาน

ปัจจุบันนอกจากโรคเอดส์แล้ว ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดในที่คนไทยเป็นกันมาก

          โรคที่ยังพบได้บ่อยคือ โรคเริม หูดหงอนไก่ ช่องคลอดอักเสบ

กามโรคชนิดใดที่เป็นอันตรายต่อผู้หญิงตั้งครรภ์ สามารถทำให้ทารกเกิดอันตรายได้

          ซิฟิลิส โรคเอดส์ ตับอักเสบ หนองใน เริม แต่สำหรับซิฟิลิสและเอดส์อาจจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ทำให้ทารกพิการหรือเสียชีวิตได้ ส่วนโรคอื่น ๆ ทำให้ทารกติดตั้งแต่แรกเกิดซึ่งอันตรายมาก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดใดที่ทำให้ผู้หญิงเป็นหมันได้

          สาเหตุที่ทำให้เป็นหมันมักเกิดจากเชื้อเข้าไปที่มดลูก และทำลายปีกมดลูก ทำให้ปีกมดลูกตัน เช่น หนองใน

ข้อแนะนำจาก พญ.เนตรนิภา พรหมนารท สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลหัวเฉียว

          มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โรคกามโรคต่าง ๆ ได้ลดลง อันเนื่องมาจากวิทยาการทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้น แต่หลังจากที่โรคเอดส์ระบาดก็ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีก

          นอกจากโรคเอดส์แล้วก็ยังมีโรคติดต่อทางเพศอีกมากมาย ดังนั้น ก่อนมีเพศสัมพันธ์ก็ควรรู้จักคู่นอนให้ดี และควรป้องกันด้วยถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถ้ายังไม่ทราบผลเลือด เอดส์ ตับอักเสบของคู่นอน เพื่อป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เพราะโรคดังกล่าวรักษาไม่หายขาด

ข้อควรรู้ : วัยรุ่นกับความเสี่ยงติดเอดส์

          ปัจจุบัน วัยรุ่นมักอยู่กินกันแบบผัวเมีย แข่งมอเตอร์ไซค์ซิ่งพนันผู้หญิงท้ายรถ มีกิ๊กกันจนเป็นเรื่องปกติ หรือทำแต้มในเรื่องของเซ็กซ์ให้มากที่สุด และความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์ เพราะพบว่า นักเรียนชายใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ไม่ถึง 50% และพบว่าในบางจังหวัดมีนักเรียนอาชีวะผู้หญิง เป็นโรคหนองในมากกว่าผู้ชาย จึงมีแนวโน้มว่า จำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น

          จำนวนผู้ป่วยเอดส์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 ถึง 31 ตุลาคม 2550 มี 322,296 คน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุ 20-24 ปี มี 25.27% อายุ 25-29 ปี มี 23.95% และอายุ 35-39 ปี มี 17.59% และติดจากเพศสัมพันธ์มากถึง 83.88% ติดจากยาเสพติด 4.6% และไม่ทราบปัจจัยเสี่ยง 7.4%

          โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ เช่น ซิฟิลิส (แผลริมแข็ง) หูดหงอนไก่ แผลริมอ่อน หูดข้าวสุก เริม และฝีมะม่วง

          โรคที่ทำให้เกิดท่อปัสสาวะหรือปากมดลูกอักเสบ เช่น หนองในแท้และหนองในเทียม

          โรคที่ทำให้มีตกขาวผิดปกติ (ช่องคลอดอักเสบ) เช่น BV (จากเชื้อแบคทีเรีย) Trichomonas (จากพยาธิในช่องคลอด) Candida (จากเชื้อรา) โรคตับอักเสบบีและซี โรคหิด และโลน




http://health.kapook.com/view12664.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก