มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผู้หญิง

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (เดลินิวส์)

          มะเร็งสืบพันธุ์สตรีอีกชนิดหนึ่ง ที่คุณผู้หญิงทุกคนควรระวังไว้ นั่นก็คือ "มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก"

          มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ในสตรีที่พบได้เป็นอันดับ 3 เป็นมะเร็งที่มีโอกาสรักษาหายขาดสูงมาก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งแพทย์ส่วนมากแล้วจะแนะนำให้ผู้ป่วยมาพบ เมื่อรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ ทำให้การตรวจพบโรคในระยะแรกเริ่ม นำพาไปสู่การรักษาที่ดีได้มาก

          สาเหตุของโรค ในปัจจุบันทางการแพทย์แบ่งกลุ่มของผู้ป่วยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็น 2 กลุ่ม คือ

          1.กลุ่มที่เป็นโรคมะเร็งเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน มักพบในสตรีที่มีอายุน้อย ในผู้หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนเกินเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

          2.กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่ามีความเกี่ยวข้องในเรื่องพันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่ ที่มักพบในผู้ป่วยสูงอายุและเป็นชนิดที่มีความรุนแรงของโรคสูง

          โดยทั่วไปแล้ว สตรีจะมีรอบเดือนตามฮอร์โมนในร่างกาย คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตขึ้นและหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยผู้ป่วยมีภาวะหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นผิดปกติต่อเนื่องเป็น ระยะเวลานาน ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาไม่หมด และค้างอยู่ในโพรงมดลูกจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่ เรียกว่า ภาวะเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ ซึ่งหากผู้ป่วยอยู่ในภาวะนี้นาน ๆ โดยไม่ได้รักษาก็จะกลายเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในที่สุด

          ดัง นั้น ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้มีอะไรบ้าง เริ่มที่สตรีที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรยาก, สตรีที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยและหมดประจำเดือนช้า, สตรีที่มีรูปร่างท้วมหรืออ้วน, มีประวัติญาติพี่น้องสายตรงเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนในขนาดที่สูงเป็นเวลานาน, สตรีสูงอายุ และ สตรีที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง

          คุณผู้หญิงที่มีปัจจัยดังกล่าวนี้ ควรหมั่นตรวจตรารอบเดือนของตัวเองว่ามีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ หากมีแล้ว ก็ให้สำรวจอาการว่า ตรงกับข้อมูลดังต่อไปนี้หรือไม่

          สำหรับ อาการของโรค ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ที่ไม่ใช่ประจำ เดือน โดยเลือดออกกะปริดกะปรอยหรือออกมาปริมาณมากติดต่อกันหลายวัน จนทำให้ผู้ป่วยมีภาวะซีดและอ่อนเพลียเกิดขึ้นเนื่องจากเสียเลือด อาการปวดท้องน้อย หากมีการดำเนินของโรคต่อไป ก็จะมีการกระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น รังไข่ ต่อมน้ำเหลือง รวมไปถึงปอด ซึ่งคุณผู้หญิงไม่ควรมองข้าม หากมีอาการเพียงเล็กน้อยก็ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

          การวินิจฉัยโรค แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและตรวจภายใน ร่วมกับทำการขูดมดลูกผู้ป่วย เพื่อหาเซลล์มะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูกทางพยาธิวิทยา

          ใน ส่วนของการรักษาโรค แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ตรวจอวัยวะภายในช่องท้อง ตัดมดลูกและรังไข่ ตรวจต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกราน และต่อมน้ำเหลืองบริเวณเส้นเลือดใหญ่เอออร์ต้า (Aorta) ตรวจน้ำในช่องท้องหาเซลล์มะเร็ง

          แล้วประเมินโรคว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใดของโรค หากเป็นมะเร็งระยะแรก ๆ การรักษาโดยการผ่าตัดก็เพียงพอ หากเป็นมะเร็งระยะที่มากขึ้น ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการฉาย แสงหรือให้ยาเคมีบำบัดขึ้นอยู่กับระยะของโรค

          ด้าน การป้องกันโรค ดังที่กล่าวมาแล้วว่า โรคนี้มีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการป้องกันโรคจึงสามารถทำได้ดังนี้

          1.หลีกเลี่ยงการได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนหากไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ หากจำเป็นต้องรับฮอร์โมน เอสโตรเจนควรได้รับฮอร์โมนโปรเจส  เตอโรนควบคู่กันไปด้วย เพื่อป้องกันภาวะเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ ซึ่งเป็นภาวะแรกเริ่มของการเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

          2.สตรีที่มีลักษณะของประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาไม่สม่ำเสมอ มาขาด ๆ หาย ๆ มีประจำเดือนปริมาณมากในแต่ละครั้ง ร่วมกับมีลักษณะของการมีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง เช่น หน้ามัน ขนดก เป็นสิวมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

          3.สตรีที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้ว ควรไปรับคำปรึกษาจากแพทย์และตรวจภายใน เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลตนเองในการป้องกันโรค

          4.หลีกเลี่ยงการรับประทานยาต่าง ๆ โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาเม็ดลูกกลอน ยาสมุนไพรต่าง ๆ ที่ไม่ได้มาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะอาจทำให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกและกลายเป็นมะเร็งได้

http://health.kapook.com/view9899.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก