โรคเบาหวาน เลิกทานอาหารขยะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า


เบาหวาน โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน


เลิกทานอาหารขยะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าบทความพิเศษเนื่องใน วันเบาหวานโลก  (World Diabetes Day) โดย จิตติมา จันทนะมาฬะกะ นักเขียนภาคประชาสังคม ประเทศไทย

          โรค เบาหวานเป็นปัญหาท้าทายที่สำคัญในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอินเดีย  ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังดูเหมือนว่าเรายังคงปิดตาของเราต่อมหันตภัยเงียบนี้  จำนวนเด็ก เยาวชนและวัยรุ่น ที่เป็นโรคเบาหวานมีเพิ่มมากขึ้น และโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตกำลังจะเพิ่มสูงขึ้นจน เกินกว่างบประมาณที่ใช้ในการดูแลสุขภาพจะดูแลได้อย่างทั่วถึง
          จากการที่อินเดียเป็นประเทศที่มีสถานการณ์ของโรคอ้วนรุนแรง โรคดื้ออินซูลิน และเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กและเยาวชน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อการ ป้องกันพื้นฐานของโรคอ้วน และการลดน้ำหนักอย่างถูกสุขลักษณะ โดยเริ่มจากวัยเด็ก เด็กและเยาวชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทต่างได้รับความเสี่ยง เพิ่มมากขึ้นในการที่จะป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ไม่ได้ออกกำลังหรือมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย ตามที่วัยของพวกเขาต้องการ

          ดร.มาร์ติน  ศิลิงค์ ประธานสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation – IDF) กล่าวว่า โรงเรียนไม่ได้สนับสนุนให้นักเรียนได้เล่นกีฬาและออกกำลังกายเท่าที่ควร และในขณะเดียวกันคอมพิวเตอร์ก็เข้ามาแทนที่สนามเด็กเล่น เขาอยากเห็นผู้คนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนอย่างเมื่อก่อนและเด็ก ๆ หันหลังให้กับอาหารขยะ และวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย กลับไปเดิน ปั่นจักรยาน วิ่ง เล่นกันอย่างสนุกสนาน มากกว่าที่จะนั่งเป็นเวลานาน ๆ อยู่หน้าโทรทัศน์ หรือจอคอมพิวเตอร์ มิเช่นนั้นแล้วโรคเบาหวานและโรคที่ไม่ติดต่ออื่นๆ จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศอินเดีย นอกจากนี้เขายังสนับสนุนเรื่องการตรวจสุขภาพของเด็กๆ ในระดับโรงเรียน ซึ่งประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่นเองก็พบว่ามีจำนวนเด็กที่เป็นโรคเบาหวานชนิด ที่ 2 เพิ่มมากขึ้น และได้มีการดำเนินการดังกล่าวเช่นเดียวกัน


สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ
สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation – IDF)

          วัตถุประสงค์ของ สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ (International Diabetes Federation – IDF) ในการที่จะบรรเทาความทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากโรคเบาหวาน โดยการให้ความสำคัญในเรื่องของการป้องกันและการดูแลเอาใจใส่นับตั้งแต่ทารก ในครรภ์ จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้น มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อผลักดันรัฐบาลและผู้ที่จะกำหนดนโยบาย ตลอดจนนายทุนทั่วโลกเพื่อให้ความสำคัญกับประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าว และหากว่าไม่ได้มีการให้ความสำคัญกับการดำเนินการในเรื่องของสาธารณสุขอย่าง จริงจังแล้ว ในอีก 10 ปีข้างหน้า ความพิการหรือการเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร จากปัญหาโรคหัวใจ มะเร็ง โรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจจะเพิ่มมากขึ้นสูงกว่า 21% ในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้

          สำหรับหัวข้อในการรณรงค์ วันเบาหวานโลก ระหว่างปี 2009 –2013 ภายใต้การนำของ สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ และองค์กรสมาชิกต่างๆ ได้แก่ "การให้ความรู้ และการป้องกันโรคเบาหวาน" หรือ "Diabetes education and prevention" ทั้งนี้ได้มีการเรียกร้องให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องการดูแลรักษาโรค เบาหวานมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อช่วยในการควบคุมโรคเบาหวาน 
          สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน นี่เป็นการส่งผ่านข้อความเพื่อให้ใช้ความรู้ ความเข้าใจเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง และสำหรับรัฐบาลต่าง ๆ นี่เป็นการเรียกร้องให้มีการวางแผนนโยบายที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการป้องกันและจัดการเพื่อสุขภาพความปลอดภัยของประชาชนจากโรคเบาหวาน

          สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ นี่คือการเรียกร้องเพื่อให้มีการปรับปรุงองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อจะได้นำคำแนะนำไปใช้ได้ในเชิงปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และ สำหรับประชาชนโดยทั่วไป อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการเรียกร้องให้ทำความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบอัน ร้ายแรงของโรคเบาหวาน รู้ว่าโรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะต้องทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยง หรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ อันอาจเกิดขึ้นตามมาได้

วันเบาหวานโลก
วันเบาหวานโลก

          สำหรับสโลแกนที่ใช้ในการรณรงค์ วันเบาหวานโลกในปี 2009 นั้น คือ "ทำความเข้าใจ และควบคุมโรคเบาหวาน" หรือ "Understand Diabetes and Take Control" ซึ่งขณะนี้มีประชากร จำนวน 250 ล้านคนทั่วโลก ใช้ชีวิตอยู่กับเบาหวานและครอบครัวของพวกเค้า แต่ละคนต้องใช้ความเอาใจใส่ดูแลรักษาตนเองอย่างมาก และนั่นจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องได้รับข้อมูล ความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพซึ่งมีทักษะเป็นอย่างดี 
          จากข้อมูลของสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ มีผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งเบาหวานชนิดดังกล่าวนี้สามารถป้องกันได้ โดยการช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้ที่มีความเสี่ยงให้ควบคุมน้ำหนักและออก กำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ
          อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอินเดีย  ดร.อันบูมานี รามาดอส ได้แสดงความเป็นห่วงต่อประเด็นเรื่องโรคเบาหวาน โดยกล่าวย้ำว่า เป้า หมายของนโยบายการรณรงค์เรื่องสุขภาพของอินเดียควรที่จะกระตุ้นให้ประชาชนได้ ตระหนักถึงคุณค่าของการมีสุขภาพที่ดี และควรมีการติดฉลากอาหารในประเทศอินเดีย ซึ่งอาหารทุกประเภทจะต้องระบุถึงข้อมูลทางโภชนาการและส่วนประกอบ น้ำหนัก สารอาหาร และปริมาณแคลอรี่ ตลอดจนคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย 
          ดร.อันบูมานี่ ยังกล่าวถึงการจัดการอย่างเข้มงวดจากทางโรงเรียนเพื่อไม่ให้มีอาหารขยะ อย่างพิซซ่า หรือ ซาโมซาส์ ขายในบริเวณโรงเรียน เพื่อเพิ่มสภาวะแวดล้อมที่ดีสำหรับนักเรียน ดร.อันบูมานียังได้เน้นในเรื่องความสำคัญของการเรียนการสอนโยคะสำหรับเด็ก เนื่องจากประโยชน์ที่เด็ก ๆ จะได้รับต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

          การ เริ่มต้นดูแลสุขภาพโดยเริ่มตั้งแต่ระดับครอบครัวและชุมชน จะสร้างศักยภาพในการส่งเสริมการเคลื่อนไหวประเด็นหลัก ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพในสังคม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ
          ผู้ปกครอง ชุมชน โรงเรียน และครู ต่างก็เป็นบุคคลที่มีบทบาทที่จะนำไปสู่ความร่วมมือในเรื่องของสุขภาพระดับ ชาติซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง

          ศาสตราจารย์ ดร. รามากัณฑ์ ซึ่งได้รับรางวัล Director-General จากองค์การอนามัยโลก (The World Health Organization – WHO) ในปี 2005 และเป็นหัวหน้าคลินิกเท้าเบาหวานแผนกศัลยกรรม มหาวิทยาลัย CSM Medical University ได้แสดงความคิดเห็นว่า บทบาทของครอบครัวและชุมชนมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเดินไปข้างหน้า การรับประทานขนมหวานจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ขม หรือการมีสุขภาพที่ไม่ดี ศ.ดร.รามากัณฑ์ ได้กล่าวถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในโรคเบาหวานประเภท ที่ 1 ซึ่งการที่ระบบเผาผลาญของร่างกายไม่ทำงาน ทำให้ร่างกายผลิตสารอินซูลินได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ผู้ป่วยจึงต้องการการสนับสนุนจากครอบครัวเป็นอย่างมาก 
          สำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับโรคอ้วนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ของคนสมัยใหม่นั้น ผู้ปกครองจำนวนมากต้องมัวยุ่งกับภาระกิจการงานและปล่อยให้เด็กรับประทาน อาหารขยะตั้งแต่อายุน้อยๆ การที่เด็กต้องทำการบ้านมาก การใช้อินเทอร์เน็ตและไม่ได้รับการออกกำลังกายในโรงเรียนอย่างเหมาะสมหรือ รอบ ๆ บ้าน ทำให้เป็นการยากที่เด็ก ๆ จะมีความกระตือรือร้น  แคล่วคล่องว่องไว จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว ศ.ดร.รามากัณฑ์ ได้ดำเนินโครงการให้การศึกษาเกี่ยวกับโรคเบาหวานซึ่งเรียกว่า "MARG" ร่วมกับหลาย ๆ โรงเรียนในเมืองลักนาว (Lucknow) ประเทศอินเดียอยู่ในขณะนี้ เพื่อป้องกันโรคอ้วนและโรคเบาหวานโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการ ใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไวและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
          ดร.สำลี เปลี่ยนบางช้าง ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO’s South East Asian Regional Office – SEARO) กล่าวว่า เราไม่ควรอยู่เพื่อกิน แต่กินเพื่ออยู่ คติเตือนใจง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงจากโรคเบาหวานได้ โดยการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ และออกกำลังกายเป็นประจำ

          ดร.สำลี ได้ทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองเพื่อเป็นแบบอย่างและสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบแบบแผน ดร.สำลี ย้ำว่าต้องการเห็นสื่อต่าง ๆ แสดงบทบาทหลักในการรณรงค์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงประโยชน์ของความพอเหมาะพอ ดีของการรับประทานอาหาร และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการขับเคลื่อนเพื่อที่จะต่อด้านเครื่องดื่มประเภท น้ำอัดลมจะดำเนินต่อไป
          อาจกล่าวได้โดยรวมอย่างชัดเจนว่า การดูแลควบคุมโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ควรเริ่มต้นตั้งแต่ขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา สตรีมีครรภ์ควรได้รู้ถึงข้อควรระวังเพื่อหลีกเลี่ยงจากโรคเบาหวาน โดยการควบคุมการรับประทานอาหารและการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวทางร่างการอย่างเหมาะสม เมื่อเด็กเกิดก็ควรได้รับการดูแลเรื่องพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างถูก สุขลักษณะตั้งแต่วัยทารก

          ผู้ปกครองควรตระหนักว่าการปล่อยให้เด็กดื่มน้ำอัดลมและรับประทานอาหารขยะไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็นการทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา การ ดูทีวีและเล่นเกมส์อินเตอร์เน็ตเป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งที่ควรได้รับการควบคุม ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็ก ๆ ไม่ได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างที่ควรจะเป็น แต่การดูโฆษณาทางทีวียังทำให้เด็กๆ ถูกครอบงำด้วยค่านิยมที่ผิดๆ จากโฆษณาของอาหารขยะต่าง ๆ อีกด้วย 
          คำแนะนำที่เรามักได้ยินเรื่องการนอนหลับพักผ่อนวันละ 7-8 ชั่วโมงมีความสำคัญอย่างมาก จากผลการศึกษาบอกให้เราได้รู้ว่าการนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้เกิดภาวะดื้อ อินซูลิน
          อาจกล่าวได้ว่าทัศนคติที่ไม่ถูกสุขลักษณะบนวิถีการดำรงชีวิตแบบใหม่ประกอบ กับระยะเวลาที่ใช้ในการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้คนจำนวนมากมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่ออันตรายที่เกิดจากน้ำหนักตัวเกิน และขาดการออกกำลังกาย นำไปสู่โรคเบาหวานในที่สุด

          การที่คนในชาติมีสุขภาพดีทั้งกายและจิตเท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาตินั้น ๆ อย่างแท้จริงได้
 

http://health.kapook.com/view4474.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ
- Jay-inspire Multimedia & Communication Services
- Citizen News Services – CNS