แพทย์ผิวหนังชี้ สิวจัดเป็นโรคเรื้อรัง



แพทย์ผิวหนังชี้ สิวจัดเป็นโรคเรื้อรัง (หมอชาวบ้าน)

         สิวเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง หลายคนมีความเชื่อว่าสิวเป็นแค่ปัญหาความงาม ไม่ต้องรักษาก็หายเองได้

          แท้ที่จริงแล้ว ปัจจุบันจัดว่าสิวเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง และโรคสิวนั้นนอกจากก่อความเจ็บป่วยทางร่างกายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อจิตใจอีกด้วย

          นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันแพทย์จัดว่าสิวเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ที่ต้องการการดูแลรักษาที่ถูกต้องและต่อเนื่อง จากการประชุมของแพทย์ผิวหนังทั่วโลก

          ในกลุ่มพันธมิตรพิชิตสิว (Global Alliance to Improve Outcomes in Acne) เสนอว่า ต้องรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจว่าสิวเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง ซึ่งทั่วไปแพทย์สามารถรักษาสิวให้หายได้แต่มักกลับเป็นซ้ำได้บ่อย

          การรักษาสิวที่ถูกต้องจึงต้องรวมทั้งการให้ยาเพื่อให้สิวหาย และยังต้องใช้ยาต่อเนื่องไปอีกเพื่อไม่ให้สิวกำเริบใหม่ ผู้ที่เป็นสิวจึงต้องเข้าใจว่า สิวเป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการกำเริบ และอาการสงบสลับกันไปอย่างต่อเนื่องกันนาน




          การใช้ยารักษาสิวนั้น ไม่ว่าจะเป็นยาทา ยากิน ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ หรือยากลุ่มกรดวิตามินเอ หรือกลุ่มเบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ จึงต้องใช้ต่อเนื่องกันนาน พบเสมอว่าผู้ป่วยสิวทั่วโลกรวมทั้งในไทย จะใช้ยาแค่เพื่อรักษาสิวให้หาย แต่ไม่ได้ใช้ยาเพื่อป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นใหม่

          ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าสิวเป็นโรคเรื้อรังและต้องรักษาต่อเนื่อง จะลดการกลับเป็นซ้ำและข้อแทรกซ้อนจากการเป็นสิว เช่น แผลเป็นลงได้มาก

          นพ. ประวิตร กล่าวต่อว่า สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด โดยมีประชากรร้อยละ 85 -100 เคยเป็นสิวในช่วงหนึ่งของชีวิต พบว่าวัยรุ่นชายและชายวัยผู้ใหญ่ตอนต้น มีโอกาสเป็นสิวมากกว่าในหญิง และพบว่าแผลเป็นสิวชนิดรุนแรงส่วนใหญ่ก็พบในชาย

          สิวในผู้ชายอายุน้อยมักมีอาการดีขึ้นเมื่อมีอายุเกิน 20 ปี ส่วนในหญิงนั้นอาจพบว่า สิวเริ่มเป็นในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น หรือเคยเป็นสิวในวัยรุ่นแต่หายไปแล้ว เมื่อย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นก็กลับเป็นสิวใหม่ สิวที่ไม่ได้ดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดแผลเป็นทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ผู้ป่วยขาดความมั่นใจ ซึมเศร้า และกระวนกระวาย

          ทั้งยังมีงานวิจัยแสดงว่าผู้เป็นสิวมีโอกาสตกงาน และไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นสิวอีกด้วย


http://health.kapook.com/view9872.html
ขอขอบคุณข้อมูลจาก