Showing posts with label พลังจิต ธรรมมะ. Show all posts
Showing posts with label พลังจิต ธรรมมะ. Show all posts

ฝึกพลังจิต11 : psychometry

ฝึกพลังจิต11 : psychometry

psychometry เป็นการอ่านพลังงานจากวัตถุ(ของจริงไม่มีแสงนะครับ ไม่ต้องทำท่าแบบนี้ด้วย)
อ่า ถึงตอนสนุกอีกแล้วครับ ต่อไปเราจะมาเริ่มใช้พลังจิตกันมากขึ้น ด้วยการหัดpsychometre ซึ่ง บอกตรงๆว่ามันจะเป็นพื้นฐานให้พลังอย่างอื่นด้วย ถ้าคุณไม่ฝึกอันนี้ พลังจิตต่อๆไป จะยิ่งฝึกยากครับ
อะ แต่ก่อนหน้านี้ ผมขอให้คุณทำอะไรอย่างหนึ่งก่อน
1.หาที่สงบๆ นั่งนิ่งๆ
2.ไม่คิดอะไร ทำใจให้ว่าง หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ
3.จดจ่อที่ลมหายใจ ช้าๆ ลึกๆ เบาๆ อย่างอื่นจะเป็นยังไงช่างมัน(สำคัญ)
4.สักพัก โดยไม่ได้ตั้งใจ จะเกิดความสบายขึ้น จิตใจสดชื่น ร่างกายผ่อนคลาย(ตามเคล็ดrelax)
ถ้าคุณทำได้แบบนี้ ก็นับว่าพร้อมสำหรับการpsychometry
อ้าว ลืมอธิบาย!! psychometry คืออะไร?
psychometry เป็นการอ่านข้อมูลจากวัตถุครับ เวลาที่เราใช้วัตถุชนิดหนึ่งมากๆ พลังงานบางอย่างจะตกค้างอยู่ในวัตถุนั้น เช่น อารมณ์ ความคิด ความทรงจำ ความรู้สึก ฯลฯของผู้ที่ใช้วัตถุนั้นเป็นประจำ ทีนี้ นักพลังจิตสามารถอ่านพลังงานนั้นจากวัตถุได้ครับและถ้าเราฝึก....เราก็ทำได้ และถ้าใช้จนคล่อง มันจะมีประโยชน์มาก
ทีนี้ ก็ วิธีทำนะครับ
1.ผ่อนคลาย ทำใจให้ว่าง...วิธีที่แนะนำครั้งนี้ คือ 4ข้อข้างบนครับ
2.จับที่วัตถุที่ต้องการอ่าน ทันทีที่จับ ให้จดจ่อ(focus)ถึงความต้องการที่จะรู้เรื่องของเจ้าของวัตถุ แต่ก็อย่าเกร็งอ่านได้หรือไม่ได้ช่างมัน แต่ต้องผ่อนคลาย(relax)
3.เมื่อเราผ่อนคลาย มันจะคล้ายๆกับเราหลุดออกจากสมาธิ ไปอยู่ในอารมณ์หรือความคิด หรือความรู้สึก หรือภาพนิมิตแปลกๆ อย่าเพิ่งหยุด แต่ลองสังเกตดูนะครับ นิมิตพวกนั้นจะไม่เกี่ยวกับเรา....ใช่แล้วครับ มันมาจากวัตถุนั้นนั่นเอง สำรวจดูว่ามันคืออะไร
เนื่องจากพลังงานที่เข้ามา จะเป็นไปได้หลายลักษณะมาก ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ ความรู้สึก ความจำ ความคิด เสียง หรือภาพ หรืออะไรก็ได้ ดังนั้น อย่าพยายามหารูปแบบบข้อมูลเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าจับแล้วพยายาม หาภาพ หรือฟังเสียง หรืออะไรแบบนั้น ให้ปล่อยใจว่างๆ ผ่อนคลาย แล้วรอดุว่าจะมีอะไรจึงจะได้ผลครับ
เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ ของที่อ่าน ยิ่งเป็นส่วนตัว คือมีคนใช้ของนั้นคนเดียวมานานแล้ว ไม่เคยมีคนอื่นใช้เลย จะอ่านง่าย แต่ถ้าเพิ่งใช้ ก็ไม่ง่าย และยิ่งมีคนใช้หลายๆคน คนละนิดคนละหน่อย อันนี้ไม่น่าจะอ่านอะไรได้แล้วครับ ตัวอย่างของที่อ่านง่าย เช่น แหวน นาฬิกาข้อมือ ตุ้มหู เก้าอี้ตัวโปรด ตัวอย่างของที่อ่านยากมาก เช่น เงินตรา กระดาษชำระ และแหวนที่ยังไม่ทันได้ใส่
เปรียบเหมือนจานใส่อาหาร กินเสร็จแล้วเหลือคราบเศษอาหารติดอยู่ เราจะเดาได้ว่าเป็นอาหารอะไร แต่ถ้าจานนั้นเวียนใส่อาหารหลายชนิดแล้ว เราก็เดายากครับ
อันนี้ต่อให้เต็มจานก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่?!?
แล้วก็ ขอเน้นจุดสำคัญนะครับ ว่าถ้าไม่มีข้อมูลออกมา อย่าบังคับนะครับ เพราะถ้าบังคับ ร่างกายเราจะสร้างภาพขึ้นมาเองซึ่งเราจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นข้อมูลที่อ่านได้หรือสร้างเอง ถ้าไม่ได้ก็ยอมรับว่าไม่ได้ครับ แล้วย้อนไปฝึกในบทก่อนๆ...ค่อยเป็นค่อยไปครับ อย่าเครียด อย่าลืมว่าการใช้พลังจิตต้อง focus&relax เสมอ
แบบฝึกหัดนี้ดูเหมือนยาก และอาจต้องการคำแนะนำส่วนตัวจากผม ถ้ายังไงก็เมลมาหาได้นะครับเพราะบางทีผมไม่ได้เข้ามาดูนาน อาจไม่เห็นตรง comment
สรุป
1.PSYCHOMETRY เป็นการอ่านพลังงานจากวัตถุ
2.Psychometler ที่ดีจะมีทักษะการ focusและ relax ที่สมบูรณ์ และเรียนรู้ที่จะไม่บังคับว่าต้องได้ข้อมูลให้ได้
3.เมื่อวัตถุใดถูกใช้ไปนานๆ จะมีพลังงานของผู้ใช้ตกค้างอยู่ ทำให้เราสามารถอ่านได้
4.พลังงานที่ตกค้างมีได้หลายรูปแบบ ภาพ เสียง อารมณ์ ความรู้สึก ฯลฯ
5.วัตถุที่มี"ความเป็นของส่วนตัว"มาก คือยิ่งมีคนที่ใช้น้อยคน ยิ่งอ่านง่าย

ฝึกพลังจิต10 : วิธีฝึกจิตแบบง่ายๆ

ฝึกพลังจิต10 : วิธีฝึกจิตแบบง่ายๆ

วิถีชีวิตยุคใหม่ที่ยุ่งเหยิง ทำให้การหาโอกาสนั่งสมาธิทำได้ไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน
ไม่กี่วันมานี้ มีน้องคนหนึ่ง ถามผมว่า ไม่มีเวลาฝึกจิตเลย เพราะชีวิตยุ่งเหยิง ไม่รู้จะฝึกตอนไหน ไม่มีเวลาอยู่คนเดียว
จริงๆแล้ว การฝึกจิต มีหลายวิธีมาก นอกจากการนั่งสมาธิ..หรือการนั่งขัดสมาธิโคจรลมหายใจ ยังมีอีกนับพันวิธีและแน่นอน บางวิธีสามารถฝึกได้เกือบจะทุกที่ทุกเวลา บางวิธีฝึกได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆเลยครับ
แท้จริงแล้ว วิธีฝึกจิตอย่างหนึ่งที่เยี่ยมยอดมาก คือ การหายใจครับ
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะถามผมว่า "พอจะรู้ว่าการฝึกจิตมักเกี่ยวกับลมหายใจ แล้วทำไมมันถึงเกี่ยวกันล่ะ"
นั่นก็เป็นเพราะว่า ลมหายใจ เป็นตัวแลกเปลี่ยนพลังของเรากับพลังของจักรวาล ซึ่งพลังของจักรวาลนี่แหละที่ใช้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงในการใช้พลังจิต
นอกจากกระบวนการสันดาปด้วยก๊าซตามที่เคยเรียนจากโรงเรียนแล้ว จริงๆแล้วในอากาศ..หรือจริงๆแล้ว ในลมหายใจ มีพลังงานบางอย่างที่ซ่อนอยู่ซึ่งวิทยาศาสตร์กำลังจะเริ่มค้นพบ แต่จริงๆแล้วผู้รู้ในอดีตทั้งหลายต่างรู้จักมันมานานแล้ว และในการหายใจนี่แหละครับที่เราเอาพลังงานพวกนี้เข้ามาด้วย (ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ เรากำลังทำแบบนั้นอยู่ด้วยจิตใต้สำนึก!) มันไม่ยากที่เราจะพบว่า ก๊าซและสารเคมีในตัวเราย่อมใช้ไปในการทำงานทางกายภาพ แล้วถ้าเราจะทำงานทางด้านที่ละเอียดกว่ามิติทางกายภาพล่ะครับ ใช้พลังงานจากไหน?
....ก็จากแหล่งที่ไม่ใช่กายภาพน่ะสิ
ในการหายใจ ยังมีพลังงานที่นอกเหนือจากพลังงานทางฟิสิกส์เข้ามาสู่ร่างกายของเรา
เอ้า เสียเวลาซะนาน ผมขอแนะนำวิธีฝึกจิตที่ดีมากๆ สองวิธีนะครับ วิธีหนึ่งคือเดิน อีกวิธีหนึ่ง คือ หายใจ
ไม่ว่าคุณจะไม่ว่างขนาดไหน คุณต้องมีเวลาเดิน และมีเวลาหายใจบ้างแน่นอน...เชื่อผม และไม่ว่าคุณจะเดินอยูบนอะไร หรือหายใจอยู่ในไหน(ที่ไม่ได้เลวร้ายสุดๆ เช่นในลิฟต์ที่มีคนตด)...คุณฝึกจิตได้ครับ ขอเพียงคุณกำลังเดิน และกำลังหายใจเท่านั้น
เดิน
การเดินฝึกจิตแบบง่ายๆนะครับ เวลาเดิน ให้ตั้งใจสัมผัสความรู้สึกของแรงกระทบที่เท้า จากส่วนต่างๆ ปลายเท้า กลางเท้า ส้นเท้า ว่าตรงไหนกระทบตอนไหน
เราสามารถฝึกจิตจากการเดินได้ ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ที่ไหน
หายใจ
การหายใจที่เป็นการฝึกจิตนั้น มันมีแก่นอยู่ที่ว่า ต้องรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ ดังนี้
1.รู้ว่าลมหายใจกำลังเข้า หรือกำลังออก
2.รู้ว่าลมหายใจขณะนี้ลึกหรือตื้น
3.รู้ว่าสายลมหายใจตอนนี้กำลังเริ่มหรือกำลังสุด(ในการเข้าหรือการออก)
ในแต่ละขณะต้องรู้ทั้งสามข้อนี้ ส่วนอย่างอื่น เช่นหายใจลึกๆ หรือท่าทาง หรือการควบคุมท้องฯลฯ เป็นเทคนิคครับ ถ้ามีเวลา มีโอกาสก็ทำ แต่ถ้าไม่มีโอกาส เอาสามข้อนี้ก็ได้ประโยชน์มากแล้วครับ
หากฝึกดังนี้ โดยเฉพาะลมหายใจ จิตใจจะจดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่าน ฝึกเป็นประจำจะเริ่มเห็นผลร่างกายสดชื่น ผิวหนังรับพลังงานจากจักรวาลได้ดีขึ้น มีความผ่องใส จิตใจผ่อนคลาย(ตามเคล็ด focus&relax)
เป็นที่รู้กัน ว่าการฝึกจิตของศาสตร์ทั้งหลายต่างยอมรับว่าการหายใจเป็นส่วนที่มีผลสำคัญมาก และยังให้ผลดีต่อสุขภาพด้วย
สรุป
1. ลมหายใจไม่ใช่แค่ก๊าซ แต่รับเอาพลังงานที่ไม่ใช่สสารทางกายภาพเข้ามาด้วย
2. เคล็ดพื้นฐานการหายใจคือ รู้เข้าออก,รู้ตื้นลึก,รู้เริ่มหรือสุด พร้อมๆกัน
3. ผลของการหายใจที่ควรสังเกตได้ คือ focus&relax
4. เคล็ดพื้นฐานการเดิน คือ สัมผัสแรงกระทบจากส่วนต่างๆกันของฝ่าเท้าอย่างต่อเนื่อง

ฝึกพลังจิต8 ZEE ENERGY พลังแห่งชีวิต

สวัสดีครับ เป็นอย่างไรกันบ้าง?
จากคราวที่แล้ว ผมเกริ่นไว้ว่า นอกจากกายเนื้อที่เราบริหารด้วยการออกกำลังกายนั้น เรายังมีโครงสร้างอื่นๆอีกมากมายในมิติต่างๆ ซึ่งคนทั่วๆไปในยุคนี้ยังไม่สามารถรับรู้และเข้าใจได้ ซึ่งตัวโครงสร้างเองนั้น มีความซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ
และในครั้งนี้ ผมอยากให้เราลองศึกษาความรู้ทางด้านโครงสร้างพลังชีวิต ตามหลักของชาวโรมาเนียโบราณครับ
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของผม พบว่าไม่ว่าความรู้หรือวิชาอะไร หากเราศึกษาไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว มันจะมาถึงความจริงเดียวกัน ดังนั้น ผมสนับสนุนให้ผู้ศึกษาพลังจิตทุกคน เรียนรู้ความรู้ของศาสตร์ต่างๆ ให้กว้างๆ แล้วหาจุดร่วม จะให้ผลดีมากกว่าที่เราจะปิดตัวเองอยู่กับระบบความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งแล้วตัดสินว่าความเชื่ออื่นด้อยกว่าหรือผิดเสมอ นั่นทำให้วิญญานเราคับแคบครับ
และก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณคุณเดชจากร้านANGELS MAGICAL SHOP จรัญสนิทวงศ์ 8 ที่เอื้อเฟื้อบทความในLESSONนี้ให้พวกเราได้อ่านกัน
พร้อมแล้ว? งั้นลุยเลย...
ชาวโรมาเนียแต่โบราณ มีความเชื่อเกี่ยวกับพลังชีวิต ว่าเป็นพลังงานของพระเจ้าองค์แรกในยุคดึกดำบรรพ์ ผู้ทรงแยกกลางวันกลางคืนและสร้างฤดูกาล พลังนี้ มีชื่อเรียกเป็นภาษาโรมาเนียนว่า Mi Douvals Zee หมายความว่า หัวใจแห่งพระเจ้า หรือ ชีวิตแห่งพระเจ้า (The heart, or the life of god) แต่โดยทั่วไปมักเรียกเพียง Zee หรือ ซี มนุษย์ทุกคนจะมีพลังเหล่านี้ซึมซาบอยู่ในทุกอนุภาคของร่างกาย โดยเฉพาะจะรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นในเส้นเลือดดำ และเส้นชีพจร รอวันที่จะถูกปลุกขึ้นมาใช้งาน การฝึกฝนจะช่วยให้ได้รับพลังงานเหล่านี้จากธรรมชาติมากขึ้น และสามารถนำพลังออกมาใช้ได้ พลังซีนี้ ถือเป็นหลักการเดียวกันกับพลังชีวิตอื่นๆที่มีชื่อเรียกต่างๆกันไปในแต่ละอาณาเขต เช่น Chi (พลังชีวิต), Prana (พลังปราณ), Viril(พลังทางเพศ หรือพลังแห่งการให้กำเนิด), Telluric energy (พลังแห่งฐานพิภพ) , Earth energy (พลังแห่งโลก) ฯลฯ
The Zee Energy # 1: The First Step of Zee
พลังแห่งชีวิตขั้นที่ 1 : ก้าวแรกแห่งพลังชีวิต
          ก้าวแรกแห่งการมุ่งสู่การฝึกฝนปฏิบัติเพื่อใช้พลังต่างๆนั้น คือการตระหนัก รับรู้ และยอมรับการมีอยู่ของพลังประเภทนั้นๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก และยังประโยชน์ให้แก่ผู้ฝึกมากกว่าที่คิด แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักลืมเลือนไป เนื่องจาก มักคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึก และจุดมุ่งหมายของการฝึกจนเกินไปนั่นเอง แต่หากผู้ใดได้ตระหนักและยอมรับการมีอยู่ของพลังนั้นๆแล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงวิถีแห่งการใช้พลังอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ การผ่อนคลาย (Relaxation)
          ชาวยิปซีส่วนใหญ่ทำงานหนักมาก (หมายถึงงานทางโลก) แต่เมื่อมีโอกาส พวกเขากลับสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ไม่มีติดขัด เนื่องเพราะพวกเขาได้ตระหนักถึงการคงอยู่ของพลังชีวิตในตัวและพลังชีวิตจากธรรมชาติรอบด้านมาหลายชั่วอายุคน และพวกเขายอมรับพลังดังกล่าวอย่างเต็มที่นั่นเอง
          หากคุณคาดหวังว่า เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นการสอนให้คุณรู้จักใช้พลังเวทย์ หรือเป็นการทำให้คุณมีเวทมนต์แล้วล่ะก็ หยุดอ่านแค่ย่อหน้านี้เถอะครับ เพื่อไม่ต้องเป็นการเสียเวลาการค้นหาพลังเวทของคุณ เพราะเนื้อหาในบทความชิ้นนี้ เป็นแค่ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่จากจิตใต้สำนึก ที่ผู้ปฏิบัติจะได้รับ เมื่อได้นั่งปฏิบัติอย่างสงบเพียงสิบหรือยี่สิบนาที ผ่อนคลายทุกส่วนสัด โดยปราศจากการรบกวนจากสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การจราจร ชีวิตประจำวัน หรือ โทรทัศน์
The Zee Energy # 2: Quietening the Mind
พลังชีวิตขั้นที่ 2 : การสงบจิตใจ
       ในขั้นนี้ จะเริ่มเป็นขั้นตอนแห่งการฝึกฝน มิใช่พื้นฐานทางจิตใจดังเช่นขั้นแรกอีก ดังนั้น จะเขียนแยกเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และสามารถทำตามได้โดยไม่ข้ามขั้น
1. สถานที่ที่เป็นธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ หาที่ไหนสักแห่ง ที่คุณจะรู้สึกสบาย และผ่อนคลายเมื่อได้ไปอยู่ ณ ที่นั้น ที่ซึ่งกายและจิตของคุณได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี สถานที่ๆเหมาะต่อการปฏิบัติที่สุดมิใช่ภายในอาคาร แต่ควรเป็นสถานที่สักแห่งภายนอก จะดีมากหากเราสามารถนอนบนพื้นหญ้านุ่มๆ หรือนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ หรือหินก้อนใหญ่ ปูผ้าหรือเบาะนุ่มๆที่นั่งสบายลงไป เพื่อให้เราสามารถนั่งได้อย่างสบายที่สุดเป็นระยะเวลานานๆ และมั่นใจว่าจะต้องไม่มีใครหรือสิ่งใดจากโลกภายนอกมารบกวนเรา ณ ที่แห่งนั้น
2. ในห้องส่วนตัวก็ไม่ใช่จะใช้ไม่ได้ หากเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สถานที่ในธรรมชาติ เช่น อยู่ในเมืองใหญ่ หรือมีอันตรายข้างนอก หรือสะดวกสบายมากกว่า หากจะปฏิบัติในอาคาร ห้องที่เลือกนั้น ควรมีแสงจากธรรมชาติเข้ามาได้บ้าง และมีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ควรปลูกพืชในห้องนั้นบ้าง ให้เลือกพรรณไม้ที่คุณชอบและเป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตค่อนข้างสมบูรณ์ ควรเป็นห้องที่สงบ คุณสามารถอยู่ได้นานๆโดยไม่ถูกรบกวนจากเสียงต่างๆในชีวิตคนเมือง เช่น เสียงโทรศัพท์ เสียงจากการจราจร เสียงวิทยุ ทีวี ฯลฯ (เสียงนก เสียงลม เสียงน้ำไม่เป็นไร) ที่สำคัญคือต้องเป็นห้องที่ต้อนรับคุณ (คุณจะรู้สึกได้เองว่าห้องนั้นต้อนรับหรือไม่จากความรู้สึกชอบหรืออึดอัด) คืออยู่แล้วรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากๆ (ไม่เว้นแม้แต่ห้องนอน เพราะคนส่วนใหญ่ฝึกแล้วมักจะหลับไปในช่วงที่สองนี้) ไม่ควรใช้แสงจากไฟฟ้า แต่คุณสามารถจุดเทียนได้ตามต้องการ และอาจจุดกำยาน หรือธูปหรือน้ำมันหอมได้เช่นกัน ซึ่งควรเลือกกลิ่นที่ชอบและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย คุณสามารถเปิดเพลงเบาๆได้ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ง่ายและดีขึ้น แต่ต้องเปิดเบาๆแค่พอได้ยินผ่านๆนะครับ และควรเป็นเพลงสำหรับทำสมาธิ หรือสำหรับการผ่อนคลาย หรือบำบัด (อย่างที่ตามสปาชอบใช้)
3. กายสบายจิตก็สบาย คุณสามารถนั่งหรือนอนฝึกก็ได้ หากจะนั่งพื้น ควรมีเบาะนุ่มๆรองรับและมีที่พิง สามารถเหยียดแขนเหยียดขาได้ตามสบาย หรือถ้าจะนั่งเก้าอี้ ควรเป็นโซฟานุ่มๆที่มีพนักพิง และที่เท้าแขน รวมถึงมีเก้าอี้นุ่มๆสำหรับพาดขาด้วย แต่ท่าที่ผมแนะนำคือท่านอน ให้คุณนอนหงายบนฟูกหรือเบาะที่สบายที่สุด จะหนุนหมอนหรือไม่ก็ได้ตามสบาย (เอาที่สบายที่สุด เพราะการฝึกแบบนี้ไม่ใช่การบำเพ็ญทุกรกิริยา) วางแขนไว้ข้างตัว เหยียดขาตรงโดยแยกขาเล็กน้อยพอสบาย ปล่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย เราจะรู้สึกได้เองว่าเราเกร็งส่วนใดอยู่หรือไม่ ให้คลายให้หมด (ไม่ต้องห่วงว่าจะตกหรือล้ม เพราะเรานอนอยู่แล้ว มันไม่มีทางล้มไปกว่านี้หรอกครับ)เสื้อผ้าที่ใส่ก็พยายามเลือกที่หลวมๆและเป็นผ้าที่ใส่แล้วไม่เกิดความรำคาญ (จะไม่ใส่เลยก็ได้หากมันจะทำให้คุณรู้สึกสบายมากขึ้นไปอีก เพราะเราอยู่คนเดียวอยู่แล้ว)
4. จิตว่างไม่จำเป็นสำหรับการฝึกพลังชีวิต หลังจากคุณอยู่ในท่าที่สบายที่สุดแล้ว ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างช้าๆและปล่อยออกยาวๆอย่างช้าๆเช่นกัน (หลังจากนี้ ทุกๆสิ่งที่คุณจะทำ จะทำอย่างช้าๆทั้งหมด ยิ่งช้ายิ่งดี) หายใจเข้าและออกอย่างนี้จนกว่าคุณจะรู้สึกว่าเพียงพอ ไม่ต้องห่วงว่าจะเร็วหรือนานกว่าจะพอ แค่ทำไปเรื่อยๆ เวลาเป็นของคุณแล้ว สิ่งที่สำคัญในช่วงนี้ คือ คุณไม่ต้องพยายามเคลียร์จิตใจหรือห้วงความคิดให้โล่ง ใจคุณอยากจะคิดถึงอะไรก็ปล่อยใจไป ปล่อยให้คิดเรื่องนั้นไปเรื่องเดียว ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เช่น ถ้าคุณฝึกในธรรมชาติ คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังมองไปรอบๆ ก็มองไปเถอะ รับรู้ถึงสิ่งที่เห็น ดอกไม้ ต้นหญ้าพลิ้วไสวตามสายลม เสียงนกร้อง เสียงแมลงที่บินไปบินมา หรือถ้าทำในห้องก็จะได้ยินเสียงเพลง และได้กลิ่นต่างๆที่เราจุดขึ้น เป็นต้น
5. เชื่อมต่อตัวเรากับธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตใจของคุณจะเริ่มสงบ และสงัด(หมายถึงเงียบ)ลงอย่างช้าๆ การหายใจก็จะถูกปรับระดับลงจนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องหายใจเข้าหายใจออก เพราะนี่ไม่ใช่อาณาปานสติ) ให้ค่อยๆเปลี่ยนเรื่องที่คิด (การแทรกเรื่องที่กำลังจะบอกนี้เข้าไปในความคิดเดิมก็เป็นอีกไอเดียหนึ่งที่ค่อนข้างดี) ใช้จินตนาการของคุณให้เป็นประโยชน์ ให้จินตนาการและรู้สึกตามไปด้วยอย่างช้าๆ ว่าร่างกายของคุณเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ใช่ของแข็งอย่างที่เป็น มันค่อยๆละลายลงจนคล้ายเป็นของเหลว กำแพงที่กั้นระหว่างจิตของคุณกับธรรมชาติก็ค่อยๆละลายลงด้วย (ลองนึกถึงไอศกรีมหรือเยลลี่ที่ใส่จานไว้ในห้องและค่อยๆละลายอย่างช้าๆ เรากำลังละลายแบบนั้นแหละครับ) ให้รู้สึกว่าเรากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบข้างอย่างช้าๆ(ในช่วงนี้หลายๆคนจะมีปัญหาละลายไม่ได้ อย่าท้อครับ วันนี้ไม่ได้ วันหลังก็ได้ ปกติกำแพงอันนี้มักจะหนามากน่ะครับ สำหรับการหลอมครั้งแรกอาจจะยากหน่อย)
6. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อหลอมรวมกับธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตและร่างกายของคุณจะผ่อนคลายมากขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากนั้นนึกภาพพลังชีวิตในธรรมชาติกำลังส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับแวววาว ซึมซาบอยู่ทั่วไปทั้งในอากาศและในพื้นดินใต้ตัวคุณ ให้รู้สึกถึงพลังงานเหล่านี้ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในธรรมชาติรอบๆตัวคุณ พลังเหล่านี้ ไหลเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ากับพลังจากร่างกายและจิตของคุณ โดยพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองเหล่านั้น จะถูกสูดเข้าไปตามลมหายใจ ลงสู่ปอด เข้าสู่ท้อง และซึมซาบกระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย และไหลผ่านออกมาทางรูขุมขนทั่วร่าง จุดหลักๆที่จะสามารถรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังชีวิตเหล่านี้ได้ดีคือ ที่จักรที่ 7 (บนกระหม่อม) ฝ่ามือ และฝ่าเท้า (พลังชีวิตจะไหลเวียนนะครับ เข้าและออก ไม่ใช่หยุดนิ่งสะสมอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือจุดเหล่านี้) คุณจะรู้สึกว่ากายและจิตของคุณเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้นเมื่อมาถึงจุดนี้ (หลายๆคนมักจะหลับสนิทไปในช่วงนี้แหละครับ ซึ่งไม่ต้องกังวลครับ ถึงอย่างไร เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว คุณก็ได้รับประโยชน์ไปมากแล้วล่ะครับ)
7. ซึมซับพลังชีวิตเพื่อกายและจิต ทำต่อเนื่องจากข้อที่ 6 นะครับ แต่หลังจากนี้ ให้จินตนาการและรู้สึกว่า พลังชีวิตยังคงไหลเข้ามาในร่างกายของเราตลอดเวลา แต่ซึมออกนอกร่างกายน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่ซึมออกอีกต่อไป ไหลเข้าอย่างเดียวจนเติมเต็มทุกส่วนสัดของกายและจิต ซึมซาบไปทั่วทุกอณูของร่าง เต็มปริ่มอยู่ที่รูขุมขนโดยไปรั่วไหลออกไปไหน ในช่วงนี้ เราจะรู้สึกว่าร่างกายและวิญญาณของเรากำลังเปล่งแสงเรืองรอง เนื่องจากมีพลังชีวิตจากธรรมชาติไหลซ่านมาหล่อเลี้ยงจนอิ่มเอิบไปทั่ว
8. เก็บกักพลังชีวิต หลังจากร่างกายของคุณเริ่มส่องสว่างจากแสงแห่งพลังชีวิตแล้ว ให้คุณค่อยๆจินตนาการถึงเกราะหรือกำแพงที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เป็นกำแพงที่บางและงดงามกว่าตอนแรกมาก ซึ่งเราจะสามารถเปิดกำแพงนี้ออกเมื่อไรก็ตามที่ต้องการติดต่อกับธรรมชาติอีกครั้ง ในช่วงนี้ ร่างกายที่อ่อนเหลว ก็ให้จินตนาการว่ามันค่อยๆกลับเป็นของแข็ง เป็นตัวตนของคุณอีกครั้งหนึ่ง โดยเก็บกักพลังชีวิตที่ส่องแสงเรืองรองไว้ภายใน หลังจากนั้น ให้จินตนาการว่า แสงเหล่านั้น ค่อยๆรวมตัวเข้าหากัน เป็นลูกบอลแห่งแสงที่เจิดจ้าอยู่ในร่างกายบริเวณจักรที่4 หรือ Solar plexus (อยู่ที่ท้อง บริเวณกึ่งกลางระหว่างสะดือและลิ้นปี่)
ค่อยๆเก็บมันไว้ในร่างกายของคุณโดยจินตนาการว่าบอลนี้ค่อยๆมืดลงจากการถูกห่อหุ้มปกคลุมด้วยร่างกายที่เป็นของแข็งของคุณ นับแต่นี้ไป บอลแห่งแสงนี้จะถูกเก็บอย่างดีและปลอดภัยภายในร่างกายของคุณจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องการใช้มันอีกครั้ง
9. รวมพลัง สำหรับการฝึกครั้งต่อๆไป ในช่วงที่ 5 ช่วงที่เรากำลังละลายนั้น ให้เราเห็นและรู้สึกถึงบอลแห่งแสงที่ค่อยๆถูกเผยออก และกระจายออกสู่ทุกส่วนสัดของร่างกาย ก่อนจะหลอมรวมและกลมกลืนกับพลังชีวิตในธรรมชาติในช่วงที่ 6
          ให้ฝึกตามแบบฝึกนี้เมื่อใดก็ตามที่คุณมีเวลา และสามารถฝึกได้ คุณสามารถฝึกได้ทุกวันโดยไม่เกิดผลเสีย (ดีด้วย) ไม่ต้องกังวลหากคุณไม่สามารถทำมันได้อย่างสมบูรณ์ทุกครั้ง เพราะคุณอาจจะเผลอหลับไปซะก่อน คุณจะไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน เพราะอย่างน้อย คุณก็จะสามารถหลับได้อย่างสนิทและลึก ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก คุณจะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นเมื่อตื่นขึ้นหลังจากนั้น เพราะคุณได้พักผ่อนร่างกายและจิตอย่างเต็มที่นั่นเอง ผมขอแนะนำให้ผู้ที่ต้องการฝึก ปรินท์รายละเอียดออกไปอ่านและทำความเข้าใจถึงขั้นตอนต่างๆอย่างละเอียดก่อน ไม่ใช่ทำๆอยู่แล้วต้องตื่นขึ้นมาอ่าน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลแล้ว อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตได้
เป็นอย่างไรบ้างครับ แนวทางความรู้ของชาวโรมาเนีย บางคนอาจจะเพิ่งเคยได้ยิน แน่นอน ผมเองก็เคย"เพิ่งเคยได้ยิน"เหมือนคุณนั่นแหละ
....และตอนนี้ผมจะบอกคุณว่า โลกนี้กว้างใหญ่นัก

ฝึกพลังจิต 9 : CHAKRAS--INTRODUCTION


หวัดดีครับ สบายดีกันหรือเปล่า
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณหลายๆคน ที่ให้คำติชม ให้ผมสามารถปรับปรุงบล็อกได้ดีขึ้น(หวังว่านะ)
แต่ยังไงเสีย ผมพบว่า ผู้อ่านบล็อกนี้จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่อ่านแล้วฝึกตาม กลุ่มที่สองคือกลุ่มอ่านเอาความรู้(อ่านเอาเรื่อง)เฉยๆ ซึ่งกลุ่มที่ฝึกตามจะพบว่าฝึกตามไม่ทันกับที่ผมเพิ่มให้ ส่วนกลุ่มอ่านเฉยๆ ก็จะพบว่า ผมอัพช้าไป รอนานเปิดมาแต่ละทีไม่ค่อยมีอะไรใหม่
ยังไงก็แล้วแต่ ผมเห็นว่า ใครจะฝึก หรือไม่ฝึก เร็ว หรือช้ายังไง ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ คนไทยส่วนใหญ่เคยชินกับการเรียนแบบสอบปลายภาค คือพอถึงวันที่กำหนดจะมีสอบทำให้ติดนิสัยเรียน(หรือฝึก)อะไรแบบที่ต้อง"ให้ทัน"
แต่สำหรับบล็อกนี้ ผมเห็นว่า แต่ละคนมีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะฝึกเร็ว(หรือช้า)แค่ไหนก็ได้ตามใจสิครับ ไม่ได้วัดผล ไม่ได้มีใครมาประทับตราคุณว่าสอบตกหรือได้ที่เท่าไหร่ผมเห็นว่าการกำหนดเวลาจะทำให้ผู้เรียนหรือผู้ฝึกมีแนวโน้มจะข้ามบางเรื่องที่เห็นว่าไม่สำคัญไปเลย ดังนั้น ฝึกเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ตามสบายเถอะครับ ถ้าคุณเข้าใจแล้ว ก็ไปบทต่อไป แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือยังไม่แน่ใจ อย่าข้ามเลยครับ
ยิ่งบทต่อๆไป จะสังเกตว่า มันจะยากขึ้นๆไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าคุณผู้อ่านข้ามบทก่อนๆมา ก็จะมีแนวโน้มที่จะไม่เข้าใจ เบื่อ และเลิกฝึกไปซึ่งน่าเสียดาย
สำหรับบทนี้ เราจะมาลงรายละเอียดของ"โครงสร้าง" มากขึ้น
ในโครงสร้างคนเรา มีพลังรูปแบบต่างๆมากมายและซับซ้อนมาก นอกเหนือจากปริมาณพลังที่เราต้องรักษาไว้ ไม่ให้น้อยไปและไม่ให้แน่นไปแล้ว เรายังต้องรักษาอัตราส่วนของพลังต่างๆในตัวเราให้สมดุลย์กันด้วย
แล้วโครงสร้างพลังมันเป็นยังไงบ้าง? ในบทนี้เราจะเริ่มแบ่งพลังออกโดยใช้ระบบ จักระ

จักระคืออะไร
จักระ คือ จุดบนโครงสร้างพลัง ที่มีหน้าที่รับ-ส่งและแปลงพลังงานในแต่ละระดับ ถ้าให้เปรียบเทียบ ก็เหมือนกับadapterหรือหม้อแปลงไฟนั่นแหละครับ แต่ปกติอุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะมีหม้อแปลง1จุดต่ออุปกรณ์1ชิ้น แต่สำหรับจักระ มีอย่างน้อย 7 จุดหลักครับ
แต่เดี๋ยวก่อน!! ลักษณะของจักระไม่ได้แยกออกจากออร่านะครับ คล้ายๆกับน้ำวนในบ่อน้ำ คือเรากำหนดขอบน้ำวนหรือรอยต่อไม่ได้เป๊ะๆ แต่ก็พอชี้ได้ว่า นี่น้ำวน นี่น้ำไม่วน พอนึกออกใหมครับ ออร่าของเราก็จะมี"น้ำวน"ที่มีหน้าที่แปลงพลังงานซึ่งมันไม่ได้แยกออกจากออร่าซะทีเดียว จริงๆแล้วคำว่า จักระ แปลว่า วงล้อ ครับ และที่มันเรียกว่าจักระก็เพราะธรรมชาติมันหมุนไปเรื่อยๆนี่เอง
การทำงานของจักระ

อย่างที่บอก จักระมีหน้าที่รับ-ส่งพลังงาน เพื่อไปใช้ในกิจกรรมต่างๆของเรา(อย่าเพิ่งงงครับ เลือดส่งสารอาหารและพลังงานให้กายเนื้อเป็นหลัก แต่ถ้าเราพูดถึงระบบโดยรวมที่ไม่ใช่แค่กายเนื้อ จักระเป็นช่องทางที่สำคัญครับ) ซึ่งจักระแต่ละจุดจะดูแลการกระจายพลังงานให้กิจกรรมแต่ละกลุ่ม กลุ่มกายเนื้อก็มีจักรหนึ่งควบคุม กลุ่มการแสดงออกและการแสดงตัวตนก็มีจักรอีกอันหนึ่งควบคุม กลุ่มของการมองเห็นและการรับรู้ก็มีอีกจักระหนึ่งควบคุมครับ แล้วกิจกรรมอื่นๆก็มีจักระอื่นดูแลอีก
และแต่ละกิจกรรม จะใช้พลังงานไม่เหมือนกันครับ ซึ่งนี่แหละคือหน้าที่ที่สำคัญของจักร ที่ต้องคอยแปลงพลังงานเป็นแบบต่างๆให้เหมาะกับกิจกรรมที่จักรนั้นรับผิดชอบอยู่
ถ้ายังไม่เข้าใจ ให้คิดอย่างนี้ครับ มีบางวันที่เรารู้สึกเอียนๆ เบื่อๆ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงใหมครับ ทั้งที่เราก็กินอิ่มดี และก็ไม่ได้อดหลับอดนอนอะไรนักหนา แต่ราวกับชีวิตมันขาดพลังบอกไม่ถูก นั่นแหละครับ ใช่เลย เราขาดพลัง"บางแบบ"ไป ซึ่งต้องมาดู ว่าจักรไหนที่ขาด
พอเรากินน้ำ กินอาหาร หรือนอน หรือฝึกพลังอะไรก็ตาม พลังที่เข้ามาในตัวเราจะถูกส่งไปตามจักรต่างๆ แล้วจักรต่างๆก็จะแบ่งพลังงานแล้วแปลงไปใช้ในกิจกรรมที่มันดูแล ดังนั้นถ้าจักรไหนทำงานไม่ดี ก็จะทำให้กิจกรรมบางอย่างผิดปกติไปด้วย
และที่ต้องพิจารณาอีกก็คือ จักระแต่ละจักระจะเชื่อมต่อกัน และส่งผลกระทบกันด้วยครับ โดยเฉพาะจักรข้างเคียง เช่นสมมุติจักร1(ดูแลกล้ามเนื้อ) เสีย จักรต่อมาที่จะโดนก็คือ จักร2(เพศ) ครับ ดังนั้น คนที่ปล่อยร่างกายอ่อนแอ จะมีโอกาสสูงมากที่จะเสื่อมสมรรถภาพ!! น่ากลัวใหมครับ อิอิ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสมมุติเราเป็นคนหยิ่งจัดๆ ซึ่งเป็นอาการของจักร5 ก็ไม่ค่อยมีผลต่อสมรรถภาพทางเพศ(จักร2) แต่จะไปมีผลต่อคามรัก(จักร4) และการมองโลก(จักร6)แทน ครับ

แต่ไม่ใช่ว่าจักรที่ไม่อยู่ติดกันจะไม่เกี่ยวนะครับ เพราะจักร1ติดกับจักร2 จักร2มันก็ติดกับจักร3 ถ้าจักร1เสีย ไม่นานจักรสองก็เสีย แล้วสักพักถ้ายังไม่แก้ จักรสามก็เสียตามจักรสองอีก สรุปจักระเป็นระบบรวมครับ มีผลต่อกัน
นอกจากนั้น จักระยังสามารถดึงพลังซึ่งกันและกันได้ด้วย เช่นสมมุติถ้าจักร5(อัตตาและการแสดงออก)ของเราเด่นเกิน มันจะดึงจักร4(ความรัก)ของเราให้ทำงานให้ ทำให้เรามีแนวโน้มจะใช้ความรักเพื่อแสดงออก พูดง่ายๆ คบไว้โชว์ และบางทีก็จะดึงจักร6(การมองโลก) ทำให้เราชอบอวดมุมมองและความเห็นของเราจนเกินงาม เป็นต้น
นั่นทำให้ท้ายมฃที่สุด เราไม่ควรทำให้จักรทำงานน้อย หรือมาก แต่ต้องพอดีครับ
จนถึงตอนนี้ หลายคนคงเริ่มงง ว่าจักรมันมีกี่จักร และแต่ละจักรเป็นยังไงกันแน่ เหอะๆๆ ดังนั้น
.....
....
...
..
จบซะงั้น เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อ เหอๆๆ
สรุป
1. จักระเป็นจุดพลังงานบนโครงสร้างพลังงาน
2.จักระจะแปลงพลังงานไปให้กับกิจกรรมที่จักรนั้นดูแล
3.แต่ละจักระ เชื่อมต่อกัน และส่งผลกระทบถึงกัน โดยเฉพาะจักรข้างเคียง จะส่งผลเร็วกว่า
4.จักระสามารถสมดุลย์ หรือมากไปจนไม่ดี หรือน้อยไปจนเป็นโทษก็ได้
แบบฝึกหัดท้ายบท
อันนี้เป็นการฝึกแบบรวมๆนะครับ จุดหมายของการฝึกนี้คือ ทำให้จักระแต่ละจุดเชื่อมต่อกันดี ในบทนี้เราจะยังไม่กำหนดพิกัดที่เจาะจงมากนัก แต่ก็ได้ผลระดับหนึ่ง
1.ผ่อนคลาย ตามที่ได้ฝึกมา
2.เริ่มกำหนดความรู้สึก อยู่ที่จักร1 จุดสีแดงในภาพ(ภาพไหนก็ได้ในบทนี้ สังเกตว่ามันจะอยู่ในบริเวณเดียวกัน)แล้วขยายดวงพลังงานสีแดงออกไปรวมกับอวกาศรอบๆ จากนั้น พอรวมดีแล้ว หดกลับเข้ามาอยู่ที่เดิม
3.ดวงสีแดงเลื่อนขึ้นมาที่จักรสองพร้อมกับค่อยๆเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีส้ม พอถึงตำแหน่งต้องเป็นสีส้มโดยสมบูรณ์ ขยาย และหด เหมือนเดิม
4.ค่อยๆเลื่อน เปลี่ยนสี ขยาย หด ไปทีละจักร ตามภาพ
5.พอถึงจักร7 สุดท้ายบนหัว ให้นึกถึงพลังคล้ายน้ำพุย้อยกลับลงมา(ถ้าเรายืน) รวมกับสนามออร่าของเรา แต่ถ้านอน ก็เป็นน้ำพุแนวนอน เป็นอันจบ

ฝึกพลังจิต7 โครงสร้าง(กาย)ทิพย์ 1

และแล้ว ในที่สุดผมก็มีเวลามาอัพเดทบล็อกจนได้
ขณะนี้ผมเหมาว่าทุกคนคงจะได้อ่านมาถึง6บทแล้ว และถ้าคุณสังเกต ผมจะเน้นให้ค่อยๆฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งบางคนก็อาจจะเชื่อผม แต่บางคนคงจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจำเป็นแล้วก็รีบๆข้ามไป ถ้าแบบนั้นผมก็ไม่ว่าอะไรคุณหรอกครับ นี่เป็นเรื่องปกติของสัญชาติญานมนุษย์ ที่อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ในกรณีของจิตและพลังจิต ผมต้องทำความเข้าใจอย่างหนึ่งก่อนเพื่อให้คุณรู้ว่าทำไมเราต้องค่อยเป็นค่อยไปอยู่ดี และนั่นคือสิ่งที่ผมจะพูดถึงในบทนี้เรื่องของโครงสร้าง
            ก่อนอื่น บางสิ่งบางอย่างสามารถใช้ความเข้าใจเพียงอย่างเดียวในการจัดการได้ เช่น โจทย์คณิตศาสตร์ การทายปริศนา การสอบข้อเขียน แต่บางอย่างแม้จะเข้าใจแต่เราต้องอาศัยโครงสร้างที่เหมาะสมถึงจะจัดการได้ครับ
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติหากเราพบคุณยายคนหนึ่งแกเดินได้ช้ามากๆจนน่าสงสาร เราอยากช่วยคุณยาย ก็เลยเรียกคุณยายมานั่งแล้วบอกวิธีเดินเร็วๆหรือวิ่งเร็วๆของนักกีฬาให้คุณยายฟัง คุณยายเข้าใจได้ไม่ยากครับ แต่พอเข้าใจแล้วแกก็เดินช้าเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะอะไรครับ เพราะโครงสร้างแกวิ่งเร็วไม่ได้!!
            ไม่เพียงการเดิน แต่กิจกรรมทางกายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรือการเคลื่อนไหวทุกอย่างต้องอาศัยโครงสร้างทางกายทั้งหมด นี่ใครๆก็คงเข้าใจ
            แต่ในส่วนของจิตนี่สิครับ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่านอกจากกายเราแล้ว ส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่กายเนื้อมันมีโครงสร้าง สำหรับคนทั่วไปไม่มีโครงสร้างทิพย์ -- เมื่อไม่รู้ว่ามีโครงสร้างย่อมไม่คิดว่าต้องอาศัยโครงสร้าง ซึ่งนั่นนำพาไปสู่ความเข้าใจผิดมากมาย
            เราอาจพบ(หรือเราอาจเป็นซะเอง..อย่าไปบอกใครนะครับ)คนที่คิดว่าพลังจิตเป็นเพียงเรื่องของข้อมูล คือหากเรารู้สูตรลับของการอ่านใจ เราก็จะอ่านใจได้ทันที หรือหากเรารู้คาถาที่ถูกเราก็จะสร้างปาฏิหาริย์ได้ทันที แต่จริงๆแล้ว นอกจากมิติหยาบ นอกจากกายเนื้อ มนุษย์เรายังมีโครงสร้างทิพย์ของแต่ละคน ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการใช้พลังจิตด้วยครับ ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้ตามหลักเท่านั้น แต่เคยทำการทดลอง โดยเชิญคนที่ไม่เคยฝึกพลังจิตมาแล้วบอกสิ่งที่ผมทำเวลาใช้พลังจิต พวกเขาทำไม่ได้เลยครับ ในขณะที่ผมบอกวิธีเดิมให้กับคนที่โครงสร้างพร้อมแต่ไม่เคยใช้พลังจิต ก็พบว่าได้ผลในระดับหนึ่ง
            และผมบอกต่อคุณไว้ ณ ที่นี้ ว่าต่อไปคุณจะพบว่าพลังจิตหลายๆประเภทไม่ต้องอาศัยเทคนิคอะไรเลย แค่โครงสร้างเราทำได้ เราก็ทำได้แล้วครับ
            และด้วยลักษณะนี้เอง ที่ทำให้เกิดนักพลังจิตประเภทที่เป็นมาแต่กำเนิด คือไม่มีใครสอนวิชาเหล่านี้ให้เขา และถ้าถามพวกเขา เขาอาจไม่สามารถตอบได้ว่าเขาทำยังไง แต่เท่าที่เขารู้ เขาทำได้มาตั้งนานแล้ว
            แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณเป็นเหมือนผมคือไม่ได้ใช้พลังจิตได้มาแต่แรก แต่คุณอยากทำได้ คุณต้องทำให้โครงสร้างคุณสามารถใช้พลังจิตได้ คุณต้องฝึกโครงสร้างของคุณครับ
            เอาล่ะ ถ้าคุณตัดสินใจฝึกโครงสร้างจริงๆแล้วล่ะก็ ตรงนี้มีคำถามเกิดขึ้นสองประการครับ
            1.โครงสร้างทิพย์เป็นยังไง
            2.แล้วจะฝึกยังไง
            1.รูปแบบโครงสร้างทิพย์
            น่าเสียดาย ในโลกยุคปัจจุบันความรู้เรื่องเหล่านี้ยังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ทำให้เรายังไม่มีระบบความรู้เกี่ยวกับระบบโครงสร้างทิพย์ที่เป็นมาตรฐานสากล พูดง่ายๆ ต่างแนวทางก็แบ่งโครงสร้งทิพย์ไว้ไม่เหมือนกันครับ แต่ก็ยังดีที่ทันมีบางส่วนตรงกัน ซึ่งผมจะบอกคุณไว้ที่นี่ ได้แก่
            1.กายเนื้อ อันนี้ผมจะไม่พูดมาก เพราะปัจจุบันมีข้อมูลเยอะเกินไปแล้ว
            2.ปราณ/ออร่า ประกอบด้วยจักระหลัก,จักระรอง,เส้นทางเดินหลัก,เส้นลมปราณและจุดฝังเข็มมากมาย
            3.อารมณ์ ซึ่งมีโครงสร้างที่แยกต่างหากจากโครงสร้างอื่น ทำให้เรามีการป่วยและการรักษาของอารมณ์ที่แยกจากกายระดับอื่นๆอีก และหากเราฝึกดีๆ เราสามารถรับรู้ถึงพลังงานทางอารมณ์และสลายพลังงานทางอารมณ์ที่เราไม่ต้องการได้ด้วยครับ
            4.ความคิด ซึ่งไม่ได้อยู่ในสมอง แต่มีโครงสร้างของมันอีกครับ ผมเคยศึกษาพบเคสหลายเคสที่บุคคลที่ทางการแพทย์ลงความเห็นว่าพิการทางสมอง(คือโครงสร้างทางสมองเสียหาย) แต่กลับมีความเชี่ยวชาญในเชิงวิชาการจนไม่มีคนปกติเทียบเท่าได้ อย่างไรก็ตาม สมองเป็นกลไกของการใช้ความคิด-- แต่ไม่ใช่ที่อยู่ของความคิด และไม่ใช่ตัวตนของโครงสร้างความคิดครับ
            5.กายอื่นๆ เช่น วิญญาณ อัตตา ปรมัตถ์ฯลฯ ซึ่งผมเองยังไม่พบวิธีอธิบายที่เป็นหลักการและเข้าท่าจริงๆจนผมเริ่มสงสัยว่ามันอาจไม่มีทางอธิบายได้เลย(?) หากใครมีแนวคิดดีๆ บอกผมหน่อยจะเป็นพระคุณอย่างสูง
         
            2.แล้วจะฝึกยังไง
            หลักการง่ายๆ คือฝึกให้ครบทุกโครงสร้างครับ เราต้องออกกำลัง/เหยียด/และผ่อนคลายร่างกายเพื่อฝึกกายเนื้อ เราควรฝึกหายใจด้วยวิธีการต่างๆและชำระล้างเพื่อฝึกออร่า เราต้องฝึกอารมณ์ เราต้องบริหารความสามารถในการคิด เราต้องแสวงหาความจริงและความบริสุทธิ์ ฯลฯ ซึ่งมีวิธีเยอะแยะเกินจะสาธยายได้หมดครับ คุณสามรรถที่จะไปหาวิธีเองได้ โดยผมจะให้หลักการคึอต้องสมดุลย์ วิธีที่ฝึกควรมีการเพิ่มและลด หรือการรวมเข้าและระบายออก หรือการทำงานและการพักผ่อน อย่างสมดุลย์กัน เปรียบเสมือนการหายใจ ควรหายใจเข้าและออกเท่ากันครับ พยายามหลีกเลี่ยงการฝึกที่เน้นทำงานโดยไม่พักผ่อน หลีกเลี่ยงเน้นการเพิ่มโดยไม่ลด หลีกเลี่ยงการเก็บสะสมพลังงานโดยไม่ระบาย หรือหากคุณมีวิธีเก็บพลังงานเยอะๆ คุณควรหาวิธีปล่อยพลังงานที่เยอะพอๆกันด้วย นอกจากนั้น ทุกๆระดับกายของเราควรจะได้รับการพัฒนาไปด้วยกัน ผมคงไม่ต้องเตือนว่าอย่าเอาแต่พัฒนากายเนื้ออย่างเดียว และเช่นกันสำหรับกายอื่นๆ ควรฝึกไปด้วยกันด้วยครับ
            สำหรับผมเอง ผมใช้วิชาชี่กง โดยเฉพาะอี้จินจิง(คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น) ซึ่งผมชอบตรงที่มันฝึกทั้งกาย ปราณ และจิต ไปพร้อมๆกัน หรือหากใครจะชอบโยคะ ผมก็ว่าดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นสุริยะนมัสการ ปราณยามะรวมถึงพันธะ พวกนี้ดีมากๆต่อการพัฒนาโครงสร้างของเราครับ
            อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าถ้าจะสอนอี้จินจิงตอนนี้ มันซับซ้อนและคงใช้เวลาอีกหลายอัพมากๆกว่าจะจบ ดังนั้นผมจะสอนชี่กงพื้นฐานที่ง่ายแต่ทรงพลังมากๆ และยังสามารถฝึกจนเห็นความก้าวหน้าไปเรื่อยๆเป็นปีเลยครับ
มันคือ ท่านั่งม้า
            1.ยืนตรง ผ่อนคลาย(คุณรู้ใช่ใหมว่าผมหมายถึงอะไร) ไม่ต้องใช้เวลามาก สบายๆ
            2.แยกเท้าออกให้กว้างเท่าช่วงไหล่ เท้าชี้ตรงไปข้างหน้า ขนานกัน
            3.ย่อเข่าลงเล็กน้อย เมื่อได้ระดับแล้ว เวลาเรามองลงไป ปลายเข่าจะบังปลายเท้าไว้พอดี นิ้วเท้าต้องกางออก เท้า(และนิ้วเท้า)กดพื้นให้สนิท ไม่มีการเผยอขึ้น ผ่อนคลายช่วงขา อย่าเกร็ง
            4.ตั้งตัวตรง อย่าแอ่นก้นไปด้านหลัง จริงๆมันควรจะงัดมาด้านหน้านิดๆ(นิดจริงๆ)
            5.ค่อยๆยกแขนขึ้นข้างหน้า มือหันเข้าหาตัว) อย่ายกศอก หรือถ้าทำได้ให้กางไหล่ออกด้านข้าง(โดยห้ามยกไหล่ขึ้นเด็ดขาด)ผ่อนคลายไหล่กับศอก ห้ามออกแรงที่ไหล่เป็นอันขาด เมื่อทำสำเร็จ จะเป็นดังรูป(คุณผู้หญิงชุดขาวด้านล่าง)
            6.ถ้าแน่ใจว่าถูกแล้ว ตามองที่ระหว่างมือทั้งสองข้าง
            7.หายใจเข้านุ่มๆลึกๆยาวๆ จินตนาการแสงสีขาวแล่นตามลมหายใจเข้า ผ่านจมูก โพรงจมูก หลอดลม ปอด ผ่านปอดลงไปยังท้อง แล้วไปหยุดที่ท้องน้อยใต้สะดือเล้กน้อย ในท้อง ต่อไปจะเรียกจุดนี้ว่าจุด ตันเถียน(จุดSEA OF CHI ในภาพ(อยู่ในตัวนะ ไม่ได้อยู่บนผิวหนัง)
            8.ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ นุ่มๆ ยาวๆ นึกถึงพลังเสียๆสีดำๆจากรอบๆร่างกายไหลออกไปทางลมหายใจออก
            9.ทำซ้ำข้อ 7 กับ 8 ไปเรื่อยๆ จนพอใจ
         
            นี่คือการฝึกหายใจพื้นฐานแบบเต๋า หรืออาจเรียกว่าชี่กงท่านั่งม้า แต่อย่างไรก็ตาม วิชาการฝึกพลังปราณยังมีอีกมาก ซึ่งเราจะค่อยๆสอบแบบอื่นๆให้ในคราวต่อไป ซึ่ง...ยากกว่านี้
         
            สรุป
            1.พลังจิตไม่ได้อาศัยเพียงความเข้าใจและเทคนิค แต่ต้องมีโครงสร้างที่เอื้ออำนวยด้วย
            2.เราสามารถฝึกโครงสร้างให้เอื้อต่อการใช้พลังจิตได้
            3.โครงสร้างมีหลายระดับ ที่คนทั่วๆไปไม่เคยรู้เลยว่ามีด้วย เราควรฝึกให้พัฒนาไปด้วยกันทุกระดับ
            4.การฝึกโครงสร้าง มีหลักสำคัญคือความสมดุลย์

ฝึกพลังจิต6 Positive Imagination

และแล้วในที่สุดก็มาถึงบทที่6จนได้ และก่อนอื่น ผมมีข่าวดีจะบอกคุณ นั่นคือหลังจากบทนี้เป็นต้นไป คุณจะเริ่มนำพลังจิตมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆแล้วครับ ยินดีด้วย! ที่ผ่านมาทั้ง 5 บท (ถ้าอ่านและฝึกตาม) คุณจะมีพื้นฐานและความเข้าใจภาพรวมของการใช้พลังจิตบ้างแล้ว ดังนั้นเราจะเริ่มหัดใช้พลังจิตให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติกัน ตั้งแต่บทนี้ไป โดยเราจะเริ่มจากความสามารถในการบันดาลเหตุการณ์ที่เราต้องการให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งผมว่านี่สำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ผมอยากจะบอกกฏ(และมันเป็นเคล็ดลับ)ของการใช้พลังจิตให้ทุกคนครับ กฏนี้ผมพบว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้พลังจิต มันคือ..
FOCUS AND RELAX
กฏนี้สำคัญมาก และจริงๆผมอยากจะขีดเส้นใต้สามเส้นถ้าเป็นไปได้ คุณจะต้องทั้งจดจ่อและผ่อนคลายถึงจะใช้พลังจิตได้ผล แน่นอนหากเราไม่จดจ่อ มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย แต่จุดที่น่าสนใจคือ หากในขณะที่เราจดจ่อเราไม่ผ่อนคลาย เชื่อใหมครับว่าพลังจิตจะแทบไม่ทำงาน(หรืออาจไม่ทำงาน)เลยแม้แต่นิดเดียว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมเขียนเรื่องการRELAX(ผ่อนคลาย)ให้ในบทที่แล้ว หวังว่าคุณฝึกได้แล้ว? และครั้งนี้เราจะมาฝึกครึ่งที่เหลือเพื่อให้เคล็ดลับนี้สมบูรณ์ นั่นคือ FOCUS หรือการจดจ่อครับ
การFOCUSนั้น เราจะต้องจดจ่อกับสิ่งที่ตั้งใจ ทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก จำได้ใหมครับ จิตสำนึกคือส่วนที่เรารู้ตัว จิตใต้สำนึกคือส่วนลึกในตัวเราที่ปกติเราไม่รู้ การทำให้จิตสำนึกจดจ่อนั้นง่ายมาก แค่ตั้งสติ(ไม่เมา)แล้วตัดสินใจจดจ่อมันก็จดจ่อแล้วครับ แต่จิตใต้สำนึกนี่สิ ปกติเราไม่รู้และไม่สามารถควบคุมมันได้ เราจึงต้องมีเทคนิคที่จะทำให้จิตใต้สำนึกทำงานสอดคล้องกับจิตสำนึก ให้มันจดจ่อในสิ่งที่เราต้องการ
เทคนิคสั่งจิตใต้สำนึกนั้นก็มีมากมาย เช่นการสะกดจิตตัวเองซึ่งแตกเทคนิคออกไปอีกเยอะ,การสวด,เพลง,ไปจนถึงเวทย์มนตร์คาถา,รวมถึงการใช้ยา(ซึ่งผมไม่แนะนำให้ใช้เลย) ส่วนเทคนิคที่ผมชอบที่สุด เป็นเทคนิคการสะกดจิตตัวเอง ซึ่งผมจะบอกวิธีที่ผมชอบที่สุดให้คุณสัก2-3วิธี
MIND SCREEN/POSITIVE IMAGINATION
1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
2. ห้ามเกร็ง โดยเฉพาะที่หว่างคิ้วจะเกร็งง่ายมากต้องระวัง หลับตาแล้วกำหนดเห็นภาพในใจ เป็นภาพพื้นที่สีขาวๆ นี่จะทำหน้าที่เป็นจอหนัง
3. บนพื้นที่สีขาว เริ่มกำหนดภาพสิ่งที่เราต้องการให้เกิด เช่นสมมุติเราอยากไปเชียงใหม่ ก็สร้างหนัง "เราอยู่ในเชียงใหม่" โดยควรจะเป็นหนังที่มีรายละเอียดสูงที่สุด(อย่าลืม ห้ามเกร็ง ห้ามขมวดคิ้ว) ตั้งแต่สถานที่ เสียง แสง ผู้คน สิ่งแวดล้อม ตัวประกอบ เห็นคุณกำลังทำสิ่งที่อยากทำให้สมจริงและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. เมื่อฉายหนังจบ เลิกสนใจจอหนัง สนใจร่างกายของคุณแทน เราจะกลับสู่โหมดปกติโดยการจินตนาการถึงพลัง(อาจใช้แสงสีขาว)แล่นผ่านทั่วร่างกาย รู้สึกถึงพละกำลังที่ค่อยๆกลับมา จนทั่วแล้วค่อยๆเคลื่อนไหวจากน้อยๆเช่นกระดิกนิ้ว ขยับมือ แขน ขา แล้วค่อยๆลุกขึ้น (ถ้าเคลื่อนไหวแรงและเร็วเกินไปโดยไม่เป็นขั้นตอนอาจมีปัญหากับปราณและชีพจรได้)
หากคุณไม่ชอบวิธีนี้ ลองอีกวิธีที่ผมเคยใช้ก็ได้ครับ
MANTRA
1. ผ่อนคลายร่างกายให้หมดทุกเซลด้วยเทคนิคการผ่อนคลายที่ถนัด(สามารถอ่านได้ในบทที่แล้ว)
2. พูดสิ่งที่ต้องการในใจ เช่นเราได้เข้าเรียนในคณะ โดยใช้คำพูดที่ง่ายและเป็นประโยคบอกเล่า ห้ามใช้ประโยคปฏิเสธิหรือประโยคอนาคต
3. ท่องซ้ำๆพร้อมกับผ่อนคลายไปจนกว่าจะหลับ
ทั้งสองวิธีนี้ ให้ทำเป็นประจำไปเรื่อยๆครับ แล้วคุณจะพบว่า มันได้ผล
ตอนนี้คุณได้เรียนรู้วิธีใช้อำนาจจิตทำงานให้เกิดสิ่งที่เราต้องการแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดกว่าพลังจิตชนิดอื่นๆทั้งหมด เพราะอะไรน่ะหรือครับ คุณคิดดูถ้าหากเรามีพลังเยอะแยะ อ่านใจคนได้ รักษาโรคได้ เห็นวิญญาน หรือแม้แต่เหาะได้ แต่เราไม่สามารถจัดการกับชีวิตเราได้ เราก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ขอทานก็มีความทุกข์อย่างขอทานได้ นักธุรกิจก็มีความทุกข์ของเขา ดาราก็มีปัญหาแบบดาราได้ ราชาก็มีความทุกข์ของเขาได้ ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เก่งแค่ไหน ถ้าเราจัดการกับชีวิตไม่ได้ ทุกคนก็แย่พอๆกันนั่นแหละครับ ดังนั้นความสามารถในการดลบันดาลเหตุการณ์ในชีวิต สำคัญกว่าพลังจิตชนิดอื่นทั้งหมด บอกตรงๆถ้าคุณใช้พลังจิตอื่นไม่ได้เลยแต่ใช้พลังจิตpositive imaginationนี้ได้ผมว่าคุณได้ประโยชน์ไปเยอะแล้ว
สำหรับบางคนอาจสงสัย ว่าทำแบบนี้แล้วก็ได้ผลเนี่ยนะ? คำตอบคือ ใช่ครับ แต่การได้ผลมันไม่เหมือนหนังพวกแฮรี่พอตเตอร์หรอกครับ ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเราอยากรวยแล้วพอทำแบบนี้ มันจะมีควันออกมาพรึ่บ! แล้วมีเงินกระสอบนึงออกมาจากควัน...ไม่มีทางสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรานั่นแหละครับที่เปลี่ยน เราจะไปทำสิ่งที่จำเป็นและถูกต้องในการได้เงินกระสอบนั้นมา
แล้วมันต่างกันตรงไหน? บางคนอาจคิดว่า แบบนี้ไม่เห็นต้องใช้พลังจิตเลย ก็ขยันทำงานไปสิ เดี๋ยวก็รวย แต่ผมว่าไม่แน่ครับ ผมเคยเห็นมามากแล้ว ที่คนขยันจัดๆและฉลาดสุดๆ แต่ยังไงก็ไม่รวย มันมีเหตุให้จนทุกทีสิน่า เราจะรู้ได้ยังไงว่าขยันทำงานแบบนั้นแบบนี้แล้วรวยแน่ ใครจะไปรู้?
วิธีที่คุณทำ ไม่สำคัญเท่าจิตที่คุณใช้ทำหรอกครับ และนั่นคือสิ่งที่บทนี้พูดถึง
สุดท้าย ผมอยากจะบอกกฏการใช้พลังจิตอีกข้อหนึ่งให้คุณ นั่นคือ คุณทำได้แค่เลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบของการเผชิญกรรม แต่ไม่มีพลังจิตชนิดไหนเอาชนะกรรมได้ครับ
สรุป
1.เคล็ดลับและกฏข้อแรกของการใช้พลังจิต คือ FOCUS AND RELAX
2.การโฟกัสต้องโฟกัสทั้งในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก
3.การกำหนดเหตุการณ์ในชีวิต เป็นพลังจิตที่สำคัญที่สุด
4.ไม่มีพลังจิตใดชนะกรรมได้ ทำได้เพียงเลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น

ฝึกพลังจิต5 power of relaxation

            หลายคนอาจเคยดูกีฬาหรืออาจเคยเข้าแข่งกีฬาเองเลย คุณสังเกตเห็นใหมครับว่าถ้าแมตช์ใหนนักกีฬาเครียด เขาจะเล่นได้แย่กว่าฝีมือปกติของเขา โดยไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกาย โดยเฉพาะกีฬาที่ใช้ความแม่นยำและจังหวะมากกว่าพละกำลังตรงๆเช่นตีกอล์ฟ ยิงปืน บาสเก็ตบอล เบสบอล ฟุตบอลฯลฯ นี่เห็นชัด ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมโค๊ชทุกคนรู้ดีว่าเขาต้องทำให้นักกีฬามั่นใจและเล่นโดยไม่เครียดถึงจะแสดงฝีมือได้เต็มที่
            มันคือพลังจิตที่ช่วยให้นักกีฬายิงลูกหรือเคลื่อนไหวออกไปด้วยแรงที่เหมาะสม ในตำแหน่งที่พอดี ในจังหวะที่ถูกต้องครับ หากนักกีฬาอาศัยเพียงสมรรถภาพทางกายกับแค่ทำตามสูตรในหนังสือกีฬาอย่างเดียวโดยไม่อาศัยพลังจิตแล้วเล่นได้ดี เราจะไม่ต้องมีกองเชียร์และไม่มีคำว่าตื่นสนามเลยในวงการกีฬาครับ แต่ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะพลังจิตมีส่วนสำคัญต่อศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆของมนุษย์ ไม่เพียงแต่ กีฬาเท่านั้น ทุกกิจกรรมเกี่ยวกับพลังจิต การสอบ การคิด ประดิษฐ์ ทำงานศิลปะ การแสดง หรือสร้างสรรอะไรก็ตามจะไม่ได้ผลดีหากเราไม่ผ่อนคลาย
            และถ้าใครชอบดูหนัง คงต้องเคยได้ยินชื่อ สตาร์ วอร์ STAR WARS มาบ้าง และหากเราโชคดีได้ดู จะสังเกตว่าเหล่าอาจารย์เจไดจะเตือนลูกศิษย์ตลอดเวลาว่า relax (ซึ่งแปลว่าผ่อนคลาย) โดยส่วนตัวแล้วผมเองไม่อยากให้เราเชื่อตามสิ่งที่ปรากฏในหนังเลยแม้แต่อย่างเดียว จนกว่าจะได้ทดลองแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมพบว่าพลังจิตเกือบทั้งหมด(หรืออาจจะทั้งหมด)จะทำงานไม่ได้เลยหากเราผ่อนคลายไม่ดีพอ
            ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการใช้พลังจิต สิ่งนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เราคุ้นเคยกับคำพูดที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และ เราคุ้นเคยกับภาพในหนังที่เห็นคนใช้พลังจิตเพ่งอยู่กับการรีดเค้นพลังจิตออกมาจนตัวสั่นเหงื่อท่วม แต่จริงๆแล้ว ในโลกของพลังจิต ถ้าเราเครียดขนาดนั้น นอกจากไม่ทำให้พลังจิตได้ผลแล้ว มันกลับยิ่งทำให้พลังจิตทำงานน้อยลงครับ ขอย้ำ ว่าน้อยลง สำหรับกิจกรรมทางโลกทั่วไปหากไม่ใช้พลังจิตเราอาจรู้สึกว่าผลงานมันออกมาฝืดๆไม่เต็มที่แค่นั้น แต่ในทางพลังจิต การไม่สามารถผ่อนคลายมันทำให้ผลออกมาแย่จริงๆหรือไม่เกิดผลอะไรเลยด้วยซ้ำครับ
         
            วิธีการผ่อนคลายนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะกับรสนิยมและระดับฝีมือของแต่ละคน ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนทุกสถานการณ์หรอกครับ ผมเองก็ใช้อยู่หลายวิธี แล้วแต่ว่าขณะนั้นเหมาะกับวิธีใหน แต่ผมชอบวิธีนี้ที่สุด วิธีของผมแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือส่วนระบาย กับส่วน พัก
            การระบาย
           
            1.เอาฝ่ามือไปทาบกับวัตถุอะไรก็ได้ เตียง พื้น หินพรมต้นไม้ ที่ดีที่สุดเป็นพื้นดิน แต่ถ้าไม่สะดวก ก็เอาอะไรก็ได้ครับ(แต่ไม่ควรเป็นคนหรือสัตว์)
            2.กำหนดภาพพลังความฟุ้งซ่านจากในตัวเรา อาจสมมุติให้มันมีลักษณะอย่างไรก็ได้ตามที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น เช่นอาจเป็นสายน้ำสีเทา หรืออะไรก็แล้วแต่ หากคุณไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงพลังความฟุ้งซ่าน ก็แค่กำหนดอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วสมมุติว่านั่นเป็นความฟุ้งซ่าน ไม่ว่าเราจะรู้สึกจริงๆหรือแค่สมมุติก็ตาม มันได้ผลอยู่ดีหากเราเปิดใจทดลอง
            3.ปล่อยความฟุ้งซ่านนั่นออกไปตามแขนและมือ ผ่านฝ่ามือไปยังวัตถุเป้าหมายที่เราวางฝ่ามือไว้
            4.ระบายออกไปเรื่อยๆจนรู้สึกสงบ เป็นอันเสร็จการระบายพลังงานส่วนเกิน
            การพัก(ต่อจากการระบาย)
            1.นอน ไม่จำเป็นต้องใช้หมอน หรืออาจใช้ถ้าไม่ชอบนอนราบจริงๆ ท่าที่ดีที่สุดคือท่านอนหงายธรรมดาที่ทางโยคะเรียกว่าท่าศวอาสนะ(corpse posture) แต่หากทำไม่ได้ก็ใช้ท่าตามสะดวก หรือจะนั่งบนเก้าอี้นวมก็ได้ครับ แต่ที่สำคัญต้องแน่ใจว่าไม่ต้องออกแรงพยุงตัวเลยแม้แต่นิดเดียว คือสามารถหลับไปในท่านั้นได้เลย
            2.หายใจนุ่มๆช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ
            3.เริ่มที่ปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลายนิ้วเท้า ปล่อยความเครียดออกจากนิ้วเท้าให้หมด เราควรรู้สึกว่านิ้วเท้าเบา สบาย
            4.มาที่เท้าทั้งหมด ผ่อนคลายเท้าให้สบาย
            5.ไล่ขึ้นมาตามแข้ง เข่า ต้นขา ก้น
            6.ขึ้นมาตามสะโพก ลำตัว เอว หลัง ซี่โครง อก ค่อยๆผ่อนคลายให้สนิท
            7.คอ ไหล่ บ่า สะบัก(บ่าด้านหลัง) แขน ศอก ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ
            8.ผ่อนคลายคอ คาง ขากรรไกร ปาก แก้ม จมูก หู ลูกตา เบ้าตา หว่างคิ้ว(สำคัญมาก) หน้าผาก หนังหัว
            9.ควรจะครบ สำรวจว่ายังเหลือที่ใดที่ยังไม่ผ่อนคลาย พักให้หมด เป็นอันจบการผ่อนคลาย
         
            นี่คือวิธีการฝึก ระบาย+ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม สังเกตว่ามันจะใช้เวลาพอสมควร จริงๆแล้วในการใช้พลังจิตเราไม่จำเป็นต้องเตรียมผ่อนคลายเต็มรูปแบบอย่างนี้ทุกครั้งไปครับ เพียงแต่แรกๆคุณควรฝึกทำแบบนี้จนร่างกายเกิดความเคยชินแล้ว มันจะทำงานโดยอัตโนมัติเร็วขึ้นไปเอง หากเราชำนาญ แค่พอคิดจะผ่อนคลายก็ผ่อนคลายเสร็จแล้วครับ
            และแล้วก็จบลงอีก1บท ขอให้ทุกท่านนอนหลับฝันดีนะครับ
         
            สรุป
            1.ขณะที่เราไม่ผ่อนคลาย เราไม่สามารถใช้พลังจิตได้
            2.วิธีการผ่อนคลายมีมากมาย ไม่มีวิธีใหนที่ดีที่สุด ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม

ฝึกพลังจิต4 พลังออร่า101


เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีกันหรือเปล่า คุณได้อ่านเรื่องการฝึกพลังจิตมาได้สามตอนแล้ว และผมหวังว่า คุณได้ฝึกบ้างแล้วใช่ใหมครับ ผมแนะนำให้คุณฝึกตามไปอย่างเป็นขั้นตอน อย่าใจร้อน เพราะผมจะเขียนบล็อกนี้แบบstep by step ถ้าคุณยังทำแบบฝึกหัดแรกๆไม่ได้ คุณจะทำแบบฝึกหัดหลังๆได้ยากมากขึ้นทุกทีๆครับ
ก่อนจะอ่านบทที่4นี้ คุณยังจำแบบฝึกหัดในบทแรกได้ใหมครับ บอลพลังปราณ (psi ball)ในบทนี้เราจะมาทำอะไรที่ยากกว่านั้นหน่อย "การตรวจสอบพลังงานด้วยมือ" วิธีเป็นดังนี้ครับ
1.ทำPSI BALL แรกๆคุณควรทำแบบนี้เพื่ออุ่นเครื่องให้กับมือของคุณ แต่ถ้าคุณชำนาญมากๆแล้ว คุณอาจข้ามขั้นนี้ไป
2.เปลี่ยนจากผ่ามือหันหากัน เป็นนำฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง ไปจับพลังงานที่เหนือแขนอีกข้างหนึ่ง เริ่มจากไกลๆก่อน แล้วค่อยๆเลื่อนเข้าหากันช้าๆ เลื่อนมือเข้า-ออกจากแขนแล้วสังเกตความรู้สึก
3.เปลี่ยนไปสัมผัสพลังงานจากจุดอื่นๆบนร่างกาย หัว ลำตัว ขา ฯลฯ ตามแต่จะชอบ สลับมือได้ตามที่ต้องการ
ที่สำคัญ ต้องผ่อนคลายตลอดครับ ในการสัมผัสพลังงานและการใช้พลังจิตทุกชนิดต้องผ่อนคลายเสมอ ยิ่งเกร็งมันยิ่งไม่ได้ผลครับ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ
เอาล่ะ จบแบบฝึกหัดที่ 4 แล้ว สังเกตว่าในครั้งนี้คุณได้สัมผัสพลังงานมากขึ้น ดังนั้นใหนๆในบทนี้เรามาเรียนรู้ลักษณะทั่วไปของพลังงานกันดีกว่า
1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
สนามพลังของแต่ละคน จะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะๆเลยครับ อย่างมากก็แค่คล้ายๆ ไม่ว่าจะเสียง สี แสง สัมผัส สนามแม่แหล็ก หรืออื่นๆ ยังไงก็ไม่เหมือนแน่ ทุกคนมี"ความถี่"ของตัวเอง
เวลาที่ความถี่ของใครใกล้ๆกัน มันจะมีความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นธรรมชาติ เราจะ"ต่อติด"ง่าย ซึ่งบางทีการที่มันสอดคล้องนี่ก็อาจจะมาจากความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึง ทางอารมณ์ นิสัย วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม หรือความหลังเมื่อชาติที่แล้วก็ได้!
ในทางกลับกัน มันก็มีที่แบบว่าพลังงานมีตวามถี่ต่างกันสุดๆไปเลย ซึ่งส่วนใหญ่นี่ทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่จริงๆคนคนนั้นอาจไม่มีปัญหาหรือเลวร้ายอะไรหรอกครับ(เอาล่ะ อาจมีคนที่เลวจริงๆอยู่ดี แต่บางคนเราก็ไม่ชอบเพราะออร่ามันขัดกัน ทั้งที่เขาไม่ได้แย่ตรงไหน)
ยังไงก็เถอะ ถ้าออร่ามันขัดกันนะครับ เราอยู่ใกล้ๆกันไปนานๆ มันจะทำปฏิกิริยาบางอย่างทำให้ออร่ามันปรับเข้าหากันเองครับ แล้วจากที่ว่ามานี้ เป็นที่มาของกฏ"การดึงดูดคนแบบเดียวกัน"นั่นเอง หมายความว่า ....เราเป็นยังไง เราก็มีแนวโน้มจะพบเจอคนที่เป็นแบบนั้นแหละครับ
2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
เวลาที่เราไปติดต่อหรือพบปะกับใครพลังงานออร่าของเราจะแลกเปลี่ยนกันไม่มากก็น้อยครับ ขึ้นอยู่กับว่าระดับความถี่มันไกล้กันแค่ไหน แล้วก็ติดต่อกันมากแค่ไหน ซึ่งจะมีทั้งการรับพลังหรือส่งพลังก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่รู้จักวิธีจัดการกับพลังงาน บางครั้ง เราอาจสะสมเอา"ขยะ"พลังงานมาไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจมีอารมณ์หรือไอเดียแปลกๆ(ที่ปกติเราไม่ได้เป็นแบบนั้น)หลังจากที่คลุกคลีกับคนบางคน บางคนเราอยู่ใกล้ๆแล้วเหนื่อย บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วคึกคัก บางคนอยู่ใกล้ๆแล้วอยากจะบ้าโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรต่างจากปกติเลย แต่มันเกี่ยวกับพลังงานรอบๆตัวเราต่างหาก
ทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ ต่างก็มีพลังออร่าทั้งนั้น และนั่นทำให้ไม่เพียงคนที่มีผลกระทบต่อเรา สัตว์(โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่"ปรับความถี่"แล้ว) สถานที่ และแน่นอน ต้นไม้ ล้วนส่งผลต่อพลังงานของเราทั้งนั้นครับ โดยทั่วไปแล้วต้นไม้มีความสามารถที่จะเอาพลังงานเสียๆของเราไปจากเราแล้วหมุนเวียนใช้ประโยชน์ต่อได้ (ซึ่งในแง่วัตถุหากคนหรือสัตว์ถ่าย shit ลงที่โคนต้นไม้ ต้นไม้ก็นำมาใช้ได้อยู่แล้ว ดังนั้น อย่ารังเกียจการ"คืนพลังเสีย"ไปให้ต้นไม้) และคงไม่ต้องยืนยันว่าการพักผ่อนใต้ร่มไม้จะช่วยทำให้เราฟื้นตัวได้ดีกว่าการนั่งในที่ทั่วๆไปมาก จริงใหมครับ
นอกจากนั้น ยิ่งนานวันผมเองเริ่มค้นพบว่าคริสตัลส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานในตัวเราได้อย่างน่าสนใจมาก คริสตัลแต่ละอย่างและแต่ละชิ้นจะส่งผลกระทบต่อเราไม่เหมือนกันเลย(แต่ชนิดเดียวกันก็จะใกล้เคียงกัน) และด้วยความที่มันสามารถขนย้ายได้ง่ายกว่าต้นไม้ คริสตัลจึงเป็นเครื่องมือในการบำบัดฟื้นฟูที่ดีมากครับ
3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
นอกจากเรารับผลจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ส่งแวดล้อมก็รับผลจากเราด้วยครับ สมมุติเรานอนบนเตียงเดิมนานๆ พลังงานของเตียงนั้นจะถูกปรับให้สอดคล้องกับเราครับ แล้วทีนี้คุณคงเคยเห็นคนที่เวลาไปนอนที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ทั้งที่เตียงสุดแสนจะสบาย ก็เพราะพลังงานมันไม่ตรงกันนั่นเอง
หรือแม้แต่เพื่อน แรกๆอาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่นานๆไปจะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดใกล้เคียงกัน หรืออาจเริ่มไปไกลเกินเพื่อน(อาฮ่า!)
แล้วเด็กๆบางคนที่กอดตุ๊กตาเน่าๆมานานๆ เวลาใครเอาตุ๊กตาหรือผ้าห่มเน่าๆนั่นไปทิ้งแล้วเอาของใหม่ สบายกว่า นุ่มกว่า สวยกว่ามาให้ เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่ชอบครับ เขาชอบอันเก่า เพราะพลังงานของผ้าขี้ริ้วนั่นมันตรงกับเขา เขากอดมันแล้วรู้สึกสบายกว่าอันใหม่เป็นไหนๆ
หลักการนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับพลังจิต psychometry เวลาที่นักพลังจิตจับสิ่งของที่เคยถูกใครใช้มานานๆ เขาจะรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้ใช้ เพราะเขาสัมผัสและตรวจสอบจากร่องรอยของพลังงานที่ตกค้างอยู่บน"หลักฐาน"นั้นๆ ซึ่งแน่นอน ของที่ไม่มีความสำคัญหรือไม่ค่อยได้ใช้ก็จะอ่านยากกว่า
อย่างเวลาทำงานร่วมกับคนอื่น สมมุติเพื่อนร่วมงานสองคนฉลาดเท่าๆกันทุกอย่าง เราจะทำงานได้ดีกับคนที่คุ้นเคยกว่าครับ อันนี้ไม่แปลก แต่เบื้องหลังก็คือพลังงานมันสอดคล้องกันและไม่ตีกันเองนั่นแหละครับ
ยิ่งถ้าสมมุติมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานจะกระทบ(ทั้งที่ดีและไม่ดี) ต่อกันมากครับ
อย่างเวลาตายจากกัน ร่องรอยพลังงานของผู้ตายบนตัวของคนที่ยังอยู่ จะสลายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดความแปรปรวนอย่างมาก การร้องไห้ตีโพยตีพายเป็นกระบวนการปรับพลังงานตามธรรมชาติ ยิ่งพลังงานประทับไว้มาก ยิ่งจำเป็นต้องร้องมากครับ
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ
สี ความสว่าง ความชัด ขนาดและรูปทรงของออร่า บ่งบอกสภาพของเจ้าของได้เสมอ(แต่ระวัง ต้องตีความสิ่งที่เราเห็นดีๆนะครับ)
ยังไงซะ โดยทั่วไป ออร่าที่ไม่ดีจะดูไม่งาม หมองคล้ำ บิดเบี้ยว ซีด บาง แหว่ง ส่วนออร่าที่ดีก็จะตรงข้ามครับ สดใสสะอาด สวยงามได้รูป ส่องสว่างกว้างไกล(ไม่ใช่แสงสว่างทางฟิสิกส์นะ) ส่วนสีต่างๆก็จะมีความหมายต่างกันออกไป ซึ่งภายหลังหากเราฝึกไปมากๆ เราก็จะรู้ว่าสีแบบไหนหมายถึงอะไรโดยประสบการณ์
แต่ระวัง! สภาพของคนคนหนึ่งไม่คงที่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ได้ ดังนั้นออร่าก็ไม่คงที่เหมือนกัน ดังนั้นสมมุติเรามองเห็นคนหนึ่งเป็นสีแดง แล้วเวลาผ่านไปมองอีกทีเขียว เราอาจไม่ได้กำลังอ่านผิดครับ (เอาล่ะ เราอาจอ่านผิดก็ได้ อิอิ)
สรุป
1.ออร่าของแต่ละคน จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน
2.ออร่าของแต่ละคนถ่ายเทซึ่งกันและกันได้
3.ยิ่งนาน ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งกระทบต่อพลังงาน และจะยิ่งมีร่องรอยเหลือไว้
4. สภาพออร่า บ่งบอกสุขภาพ อารมณ์ จิตและวิญญานของเจ้าของ