Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts
Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts

"ยาต้านมะเร็ง"ทุกชนิด อนาคตที่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ความหวังของมนุษย์ที่จะได้รู้จักกับยาที่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ทุกชนิดอาจไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไปเมื่อนักวิทยาศาสตร์ของภาควิชาแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย

สแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการทดลองตัวยาซึ่งถูกปลูกถ่ายลงในหนูทดลอง และสามารถต่อต้านเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ในมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งรังไข่, มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งสมอง, มะเร็งตับ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยใช้สารต้านทานชนิด

หนึ่งเข้าไปทำลายภูมิคุ้มกันของเซลล์มะเร็งส่งผลให้ถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันที่อยู่ในร่างกาย

การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์เมื่อ10 ปีก่อนพบว่าในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวจะผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งออกมามากเป็นพิเศษเรียกว่า ซีดี 47 โปรตีนชนิดนี้ซึ่งมีในเซลล์เม็ดเลือดปกติทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันที่มีอยู่รอบๆ เซลล์เข้ามาทำลายตัวของมันเอง และเซลล์มะเร็งก็ใช้ข้อได้เปรียบนี้หลอกระบบภูมิคุ้มกันให้ตัวมันเองอยู่รอดและกระจายตัวไปทำลายเซลล์ส่วนอื่นๆต่อไป หลายปีต่อมานักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการทดลองกับหนูพบว่าการยับยั้งการผลิต ซีดี 47 ในเซลล์มะเร็งด้วยสารต้านทานสามารถรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาวซึ่งถูกปลูกถ่าย

ลงในตัวหนูทดลองได้กระทั่งปัจจุบันทีม

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าสารต้านทาน

ซีดี 47 นั้นไม่เพียงแต่มีผลกับมะเร็งเม็ดเลือดเท่านั้นแต่ยังทำงานได้ดีกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย

นักวิทยาศาสตร์ทำการทดสอบประสิทธิภาพของสารต้านทานซีดี 47 บนจานเพาะเชื้อพบว่าเซลล์มะเร็งและเซลล์ภูมิคุ้มกันไม่มีปฏิกิริยาต่อกัน แต่เมื่อใส่สารต้าน ซีดี 47 ลงไปปรากฏว่าเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้าทำลายเซลล์มะเร็งทุกๆ ชนิดที่ทำการทดลอง ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ทำการปลูกถ่ายเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ลงไปบนเท้าของหนูทดลอง ซึ่งเป็นจุดที่ตรวจสอบหาเนื้องอกได้ง่ายที่สุด และทำการให้สารต้าน ซีดี 47 ผลการทดลองปรากฏว่าหนูที่ปลูกถ่ายเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ ของมนุษย์ลงไป หลังได้รับการรักษาเซลล์มะเร็งจะหดตัวลงและไม่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนูที่ถูกปลูกถ่ายเซลล์มะเร็งเต้านมหลังได้รับสารต้านทาน ซีดี 47 สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้อย่างสิ้นเชิงและหนูสามารถอยู่รอดโดยไม่เป็นมะเร็งถึง

4 เดือนหลังหยุดการรักษา

อย่างไรก็ตาม ผลการทดลองที่ได้จำเป็นต้องมีการวิจัยที่ต่อเนื่องไปถึงการทดลองกับเซลล์มะเร็งในมนุษย์ โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ได้รับทุนวิจัยจาก สถาบันเพื่อเวชศาสตร์ฟื้นฟูสุขภาพของรัฐแคลิฟอร์เนีย จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อทำการทดลองกับมนุษย์ต่อไป


ที่มา นสพ.มติชน

หญ้าปักกิ่ง...ทางเลือกใหม่ของผู้ป่วยมะเร็ง

“มะเร็ง” คือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย โดยในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้กว่าหกหมื่นคน

และอีกประมาณกว่าสองแสนคนที่ยังคงต่อสู้กับโรคนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการป่วยเป็นมะเร็งของคนไทยสูงขึ้นเกือบเท่าตัว
ในขณะที่ราคายาใหม่ที่ใช้รักษาโรคนี้ก็ติดสิทธิบัตร ทำให้ยามีราคาแพง และยังมีผลข้างเคียงสูงอีกด้วย

ปัจจุบันจึงมีความพยายามในการหาทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้ป่วย ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ลดผลข้างเคียงลง

หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจคือ สมุนไพร “หญ้าปักกิ่ง” ที่ปัจจุบันได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ก็เพราะมีบุคคลที่ตระหนักในคุณค่า อย่าง คุณลุงณรงค์ สุทธิกุลพาณิช ผู้ที่อุทิศตนเพื่อการเผยแพร่ทั้งความรู้ ตัวยา และประสบการณ์ในการใช้หญ้าปักกิ่งอย่างจริงจังมากว่า 40 ปี

โดยคุณลุงณรงค์ได้นำหญ้าปักกิ่งที่มีการใช้ดั้งเดิม ในแคว้นสิบสองปันนาของจีน แนะนำให้ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งใช้ และได้ขอให้ผู้ป่วยที่ได้รับแจกพันธุ์หญ้าปักกิ่ง จดบันทึกวิธีการใช้

ผลการใช้ ตลอดจนผลข้างเคียงอย่างละเอียดและเป็นระบบ จนกระทั่งได้ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 80 คน

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า

“ข้อมูลจากประสบการณ์การใช้จริงของผู้คนที่คุณลุงณรงค์ได้รวบรวมไว้ มีส่วนเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการต่อยอดในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง

โดยเฉพาะการค้นคว้าเกี่ยวกับการออกฤทธิ์ทางยาของหญ้าปักกิ่ง เช่น มีการค้นพบว่า น้ำคั้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (Glycosphingolipids)

ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ต้านการก่อกลายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และลดระดับน้ำตาลในเลือด

แม้ว่าการศึกษาวิจัยในคนโดยเฉพาะการวิจัยทางคลินิก จะยังมีไม่มากนัก แต่ข้อมูลดังกล่าวเป็นการติดตามการใช้ หญ้าปักกิ่งในลักษณะของกรณีศึกษาเป็นรายๆ

ซึ่งได้ผลการศึกษาที่มีความน่าสนใจ และน่าจะเป็นฐานในการศึกษาวิจัยทางคลินิกอย่างจริงจังต่อไป”

สำหรับงานเสวนาเรื่อง “หญ้าปักกิ่ง : สมุนไพรทางเลือกสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง บันทึกความเมตตาของคุณลุงณรงค์ สุทธิกุลพาณิช” ที่ได้จัดไปเมื่อเร็วๆ นี้

มีผู้ที่ได้ใช้หญ้าปักกิ่งในการรักษาโรคมะเร็ง และโรคสะเก็ดเงิน จนกระทั่งผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นในเวลาเพียงไม่นาน มาบอกเล่าถึงประสบการณ์ในการใช้หญ้าปักกิ่ง

อย่าง พระสันติพงษ์ เขมปัญโญ จากวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ ได้ให้ข้อมูลว่า “คุณแป๊ะ เหล่าชำนิ อายุ 70 ปี ตรวจพบมะเร็งที่ปอดและเข้ารับการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อปี 2546

หลังจากมาพบที่วัดจึงได้แนะนำให้ผู้ป่วยปลูกหญ้าปักกิ่ง และดื่มน้ำหญ้าปักกิ่งเข้มข้น ตามหนังสือของคุณลุงณรงค์ พร้อมกับการรับประทานอาหารปลอดสารพิษ ผ่านไป 4 วัน พบว่าอาการเจ็บคอลดลง

จึงได้แนะนำให้รับประทานต่อจนครบ 6 เดือน และพบว่าอาการแสบร้อนหายไปเหมือนไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน ภายหลังได้มีการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันและได้หยุดใช้หญ้าปักกิ่ง ปรากฏว่าอาการก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว

จึงได้แนะนำให้กลับไปใช้หญ้าปักกิ่ง จนอาการกลับมาดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งปัจจุบันนี้กว่า 10 ปีแล้วที่ผู้ป่วยยังมีสุขภาพดีและแข็งแรง”

นอกจากนี้ ยังมีรายงานการประชุมวิชาการของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เรื่อง “เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหญ้าปักกิ่ง”
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2548 ภญ.ปัทมา สุนทรศารทูล ได้นำเสนอผลการศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูก

โดยศึกษาผลทางคลินิกของน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยที่ได้รับการฉายแสงและเคมีบำบัด

เป็นการทดสอบประสิทธิผลในการลดผลข้างเคียงจากการฉายรังสีและเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูก ระหว่างรับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษาและเคมีบำบัด จำนวน 10 ราย

โดยผู้ป่วย 5 รายได้รับน้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง ส่วนอีก 5 รายได้รับยาหลอก โดยในการศึกษาดังกล่าว อาการสำคัญที่ใช้ในการประเมินผู้ป่วย คือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร แผลในปาก ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ท้องผูก ผมร่วง และอาการไข้

ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งมีอาการเหล่านี้น้อยกว่าในกลุ่มควบคุม ในขณะที่ดัชนีชี้วัดคุณภาพชีวิตด้านจิตใจ ครอบครัว และสังคมของผู้ป่วยที่ได้รับน้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง สูงกว่าในกลุ่มควบคุมอย่างมาก

แม้ว่าในการศึกษาดังกล่าวจะมีจำนวนผู้ป่วยน้อย แต่พบว่าน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งมีประสิทธิผลในการลดผลข้างเคียง ของการฉายรังสีและเคมีบำบัดค่อนข้างชัดเจน

ผู้สนใจข้อมูลความรู้เรื่องสมุนไพรหญ้าปักกิ่ง สอบถามรายละเอียดการใช้สมุนไพรได้ที่ ศูนย์ข้อมูล มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี โทร. 0-3721-1289.


ขอบคุณ ไทยโพสต์ออนไลน์

เตือน 10 เมนูอันตรายหน้าร้อน เน้นกินร้อน ช้อนกลาง



หน้า ร้อนบ้านเราที่ดูจะร้อนขึ้นทุกปีๆ ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ เช่น เป็นลม อาหารเป็นพิษ ท้องร่วง ท้องเสีย เพราะอากาศที่ร้อนเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอย่างมาก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียที่มีโอกาสจะเกิดการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ จึงขอให้ระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษ ขอให้ยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้แก่

1. กินร้อน โดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและปรุงเสร็จใหม่ๆ หากเป็นอาหารข้ามมื้อให้อุ่นให้ร้อนหรือเดือดก่อน
2. ใช้ช้อนกลาง ตักอาหารขณะกินอาหารร่วมวงกับผู้อื่น
3. ให้ฟอกสบู่ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและภายหลังจากใช้ห้องส้วม
รวมถึงก่อนเตรียมนมให้เด็กทุกครั้ง

การป้องกันโรคในฤดูร้อน 1. ให้เฝ้าระวังโรคในพื้นที่ หากพบมีผู้ป่วยเกิดขึ้นให้รีบดำเนินการสอบสวนควบคุมป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดทันที
2. ให้ดูแลควบคุมมาตรฐานน้ำประปา โรงงานผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด โรงงงานผลิตน้ำแข็ง ซึ่งในฤดูร้อนจะมีการบริโภคน้ำแข็งน้ำดื่มสูงขึ้นกว่าฤดูกาลอื่นๆ
3. ดูแลกวดขันความสะอาดโรงอาหารโรงเรียน ร้านอาหาร แผงลอยจำหน่ายอาหาร และตลาดสด ขอความร่วมมือผู้ประกอบการดูแลความสะอาดสถานที่และส้วมสาธารณะต่างๆ
4. ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนให้รู้จักอาการของโรค การปฏิบัติตัวที่จะไม่ให้ป่วย และขอความร่วมมือให้การดูแลความสะอาดห้องส้วม ห้องครัว

หลีกเลี่ยงจากโรคอาหารเป็นพิษ ท้องร่วงระมัด ระวังให้อาหารสะอาดปลอดภัยด้วยอยู่เสมอ ไม่ปรุงอาหารทิ้งไว้เป็นเวลานานก่อนนำไปให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะอาหารประเภทที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบจะเสียง่ายกว่าปกติ อาหารประเภทยำ ลาบ ต้องปรุงให้สุก เนื่องจากอากาศร้อนจะทำให้อาหารบูดเสียง่าย ผู้ปรุงอาหารต้องรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี แต่งกายสะอาด รวบผม ล้างมือก่อนปรุงและหลังประกอบอาหารทุกครั้ง โดยเฉพาะต้องล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ ส่วนผู้เดินทางท่องเที่ยวหรือผู้บริโภคอาหารนั้น ถ้าจะแวะรับประทานอาหารขอให้เลือกร้านที่มั่นใจว่าสะอาด หรือมีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย สำหรับน้ำดื่มหรือน้ำแข็งควรมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพจาก อย. รวมทั้งล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ทุกครั้ง

10 เมนูอันตรายทอปฮิตหน้าร้อน 1. ลาบ/ก้อยดิบ เช่น ลาบหมู ก้อยปลาดิบ
2. ยำกุ้งเต้น
3. ยำหอยแครง
4. ข้าวผัดโรยเนื้อปู โดยเฉพาะกรณีที่ทำในปริมาณมาก เช่น อาหารกล่องแจก
5. อาหาร/ขนม ที่ราดด้วยกะทิสด
6. ขนมจีน
7. ข้าวมันไก่
8. ส้มตำ
9. สลัดผัก
10. น้ำแข็ง

ส่วนอาหารปิ้งย่างที่นิยมรับประทานกัน เช่น หมูกระทะ กุ้งกระทะ ช่วงหน้าร้อนนี้ขอให้ใจเย็นๆ เวลาปิ้ง ควรปิ้งให้สุกจะได้ปลอดภัยจากอาหารเป็นพิษ ระยะ นี้เน้นรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ๆ เท่านั้น ส่วนอาหารถุงอาหารกล่อง อาหารห่อ ต้องรับประทานภายใน 4 ชั่วโมงหลังปรุงสุก อาหารกระป๋องแม้จะปลอดภัยก็ต้องดูวันหมดอายุ อาหารค้างคืน ต้องอุ่นทำให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้ง อย่าลืมฤดูร้อนผู้ปรุงอาหารต้องปรุงอาหารให้ “สุก ร้อน สะอาด” ส่วนผู้บริโภคต้อง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ”

สาหร่ายสไปรูลิน่า คืออะไร

สาหร่ายสไปรูลิน่า (Spirulina Algae) เป็นสาหร่ายที่มีขนาดใหญ่ จะม้วนตัวเป็นเกลียวและเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบในเซลล์เซลล์เดียว ถูกจำแนกให้อยู่ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์และพืช แต่ค่อนข้างจะมีความคล้ายไปทางพืชมากกว่าสัตว์ อาศัยอยู่ในน้ำ มีทั้งในน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย จะจำแนกจากลักษณะสีของต้นซึ่งมีสีเขียว สีแดง สีน้ำตาล และสีเขียวแกมน้ำเงิน เป็นต้น สาหร่ายสไปรูลิน่า เป็นสายพันธุ์สีเขียวแกมน้ำเงิน ซึ่งเมื่อทำให้แห้งแล้วจะมีสีค่อนข้างไปทางเขียวเข้มเกือบเขียวคล้ำ และขึ้นอยู่ในบริเวณน้ำกร่อยเท่านั้น น้ำที่เหมาะที่สุดจะมีลักษณะเป็นเบส ทำให้สาหร่ายสไปรูลิน่ามีคุณสมบัติพิเศษในการปรับความสมดุลของน้ำได้เป็นอย่างดี

สาหร่ายสไปรูลิน่า (Spirulina Algae) คือ สาหร่ายหลายเซลล์ สีเขียวแกมน้ำเงิน ที่อุดมด้วยคุณค่าทางสารอาหารครบ 5 หมู่ เพียบพร้อมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ ย่อยสลาย และดูดซึมง่าย เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและไม่มีผลข้างเคียงเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน

สาหร่ายสไปรูลิน่า (spirulina) การค้นคว้าของ นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสาหร่ายเริ่มมากขึ้นเมื่อพบว่า มีสาหร่ายบางชนิดมนุษย์ได้ใช้เป็นอาหารมานานกว่า 500 ปี ใน ค.ศ. 1521 (พ.ศ. 2064) ได้มีการรายงาน ซึ่งพบจากบันทึกของกองทัพคอร์ตเตส (Cortez’s Troops) ว่าชาวเม็กซิกัน กินอาหารเป็นพวกสาหร่ายชนิดหนึ่งโดยชาวพื้นเมืองปลูกในทะเลสาบ (Lake Texcoco) เก็บมาตากแห้งแล้วนำมาขายในตลาดเพื่อใช้เป็นอาหาร ในยุคของการตื่นตัวเรื่องสุขภาพ และความระมัดระวังที่จะเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้มีการศึกษาในหลายสถาบันเพื่อให้ได้อาหารที่เป็นอุดมคติของนักโภชนาการ นำมาซึ่งการค้นพบสาหร่าย พืชขนาดจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อต่อมาว่าสาหร่ายสไปรูลิน่า (Spirulina Algae)

คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลว่าสาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นสาหร่ายที่มีโปรตีนสูงถึง 60-70% เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ เช่น ถั่วเหลือง ซึ่งให้โปรตีนเพียง 37% และยังพบว่าโปรตีนของสาหร่ายสไปรูลิน่ามีปริมาณสูงกว่าเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยกรดแกมม่าไลโนเลนิก(GLA) ซึ่งกรดนี้มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน และสิวฝ้า, วิตามิน B12 ซึ่งถ้าขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ , วิตามิน A ซึ่งอยู่ในรูปเบตาแคโรทีน มีบทบาทในการลดอนุมูลอิสระ ดังนั้นจึงนำมาใช้เป็นสารต้านมะเร็งชนิดต่างๆ และสาหร่ายนี้ยังเป็นแหล่งที่มีวิตามิน E, วิตามิน C, วิตามิน B1, B12 และไนอาซีนสูง นอกจากวิตามินต่างๆแล้วยังมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี แมงกานีส ทองแดง เซเลเนียม แคลเซียม และยังประกอบด้วยสีเขียวของคลอโรฟิลล์อีกด้วย

จากรายงานการวิจัยของ ดร.มาโกโตะ อูโนะ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ เกียวโต พิสูจน์ว่าคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปสาหร่ายสไปรูลิน่ามีผลต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและสัตว์ การเผาผลาญอาหาร การหายใจ กระตุ้นสร้างเม็ดเลือดแดง การทำงานของฮอร์โมนและการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย

สารอาหารในสาหร่ายสไปรูลิน่า

เป็นที่น่าทึ่งมากว่า สาหร่ายสไปรูลิน่า ประกอบด้วยสารอาหารหลากหลายทีทรงคุณค่ามากกว่าเนื้อสัตว์ และพืชชนิดอื่น ๆ เปรียบเสมือน โรงงานผลิตอาหารของโลกเลยทีเดียว
- มีโปรตีนซึ่งสูงกว่า เนื้อ นม ไข่ ถึง 3 เท่า
- มีกรดอะมิโนครบถ้วน 18 ชนิด และเรียงตัวกันอย่างสมดุล
- อุดมไปด้วยวิตามิน B1, B2, B6, B12 , C , E และ H ซึ่งวิตามิน B12 มีมากกว่าในตับ ถึง 250%
- มีเบต้าแคโรทีนมากกว่าแครอทถึง 20 เท่า
- มีธาตุเหล็กมากกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ ถึง 12 เท่า
- มีซีลีเนียม สังกะสี และธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน
- มีกรดไขมันแกมมาไลโนเลนิก ที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดมากถึง170 เท่าของที่มีในน้ำมันพืช
- มีคลอโรฟิลล์ในปริมาณที่มากกว่าพืชชนิดใด ๆ และมากกว่า วีตกราส ถึง 2 เท่า

สาหร่ายสไปรูลิน่าให้สารอาหารประเภทกรดอะมิโนที่จำเป็นในปริมาณสูงทั้ง 8 ชนิดดังนี้

1. ไอโซลูซีน (Isoluecine) ที่ช่วยในการเจริญเติบโตพัฒนาการของความทรงจำ และยังใช้ในการสังเคราะห์กรดอะมิโนไม่จำเป็นบางตัวในร่างกายอีกด้วย
2. ลูซีน (Luecine) กระตุ้นการทำงานของสมองทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังมากขึ้น
3. ไลซีน (Lysine) เป็นโครงสร้างของเซลล์เม็ดเลือด ที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบไหลเวียนโลหิต และทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ
4. เมไธโอนีน (Methionine) ช่วยในกระบวนการเผาผลาญไขมันและกรดไขมัน ทำให้ตับมีสุขภาพดี และยังลดความเครียดของสมอง
5. เฟนินอลานีน (Phynynollanine) ช่วยให้ต่อมไธรอยด์นำไปใช้สร้างไธรอยด์ฮอร์โมนที่ควบคุมพลังงานพื้นฐานของร่างกายที่เรียกว่า BMR
6. เทรโอนีน (Threonoine) ช่วยให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารเป็นปกติ และช่วยให้การดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระแสโลหิตเป็นไปได้ด้วยดี
7. ทริปโตแฟน (Tryptophan) ทำให้ร่างกายสามารถนำเอาวิตามิน B มาใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งส่งผลทำให้ระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น เชื่อว่าให้ผลในการควบคุมอารมณ์และทำให้ใจเย็นลงได้
8. วาลีน (Valine) กระตุ้นการทำงานของระบบการควบคุมอารมณ์ และการประสานงานการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ

นอกจากนั้นยังมีวิตามิน B12 ที่พบว่า มีผลดีต่อการสร้างเม็ดเลือด ที่เป็นระบบภูมิต้านทานที่ดีของร่างกาย ให้วิตามิน A ในรูปของเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ที่ให้ผลเป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น โดยการกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น มีวิตามัน B1 เป็นโคเอ็นไซม์ในขบวนการเผาผลาญสารอาหารและรักษาระดับกลูโคสในเลือด วิตามิน E ปกป้องระบบหัวใจและระบบเส้นเลือด ช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถนำเอาอ๊อกซิเจนไปใช้ได้เป็นอย่างดี และพบว่าให้ผลชะลอความแก่ได้

หนังสือ “The Secreat of Spirulina” ยังได้กล่าวถึงปริมาณโปรตีนของสาหร่ายเกลียวทอง (แห้ง) เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่นไว้ดังนี้
เนื้อวัว 18-20%
ถั่วเหลือง 33.35%
ไข่ 10-25%
ปลาทู ปลาอินทรีย์ 20%
ข้าวสาลี 6-10%
คลอเรลลา 40-56%
ข้าวเจ้า 7%
สาหร่ายสไปรูลิน่า 69.5-71%

ผลการวิจัยของศาสตราจารย์ ดร.เคนอิชิ อะกัตซูกะ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่นที่ปรากฎในหนังสือ “The Secreat of Spirulina” พบว่าสาหร่ายสไปรูลิน่ามีลักษณะของความปลอดภัย ดังนี้ คือ
1. เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
2. ไม่มีผลข้างเคียง แม้ว่าจะใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานสักเท่าใด
3. แม้ว่าบังเอิญจะกินเข้าไปมากเกินขนาด ก็ไม่เกิดเป็นพิษหรือมีผลข้างเคียง
4. เมื่อใช้เป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มความต้านทานโรค

สาหร่ายสไปรูลิน่าได้รับการประกาศรับรองจากสถาบันชั้นนำของโลกหลายสถาบัน ได้แก่

- ค.ศ. 1967 “THE INTERNATIONAL CONFERENCE ON APPILIED MICROBIOLOGY” ประกาศว่าสาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมวลมนุษยชาติ
- ค.ศ.1974 UN ประกาศในที่ประชุมอาหารโลกว่าเป็น “THE MOST IDEAL FOOD FOR MANKIND”
- ค.ศ.1974 FAO (Food and Agriculture Organization) แนะนำว่าเป็น “ The Best Food for Tomorrow” ให้กับสาหร่ายสไปรูลิน่า
- ค.ศ.1981 FDA (Food and Druge Admistration) แห่งสหรัฐอเมริการับรองว่าสาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นพิษ
- ค.ศ.1983 IFE (International Food Exposition)ซึ่งจัดทำขึ้นที่ประเทศเยอรมันตะวันออก มอบรางวัล “The Best Natural Food” ให้สาหร่ายสไปรูลิน่า
- ค.ศ.1992 WHO (World Health Organizion) ประกาศแนะนำว่า สาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในคริสตวรรษที่ 21

ที่ประเทศญี่ปุ่นมีการศึกษาสไปรูลิน่าในด้านเป็นอาหารเสริมวันละ 6-10 กรัม (12-20 เม็ด หรือแคปซูล) ในปริมาณเช่นเดียวกันนี้ นักกีฬาและนักวิ่ง ฯลฯ ก็จะสามารถเพิ่มพูนกำลังได้เช่นเดียวกัน และสิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งก็คือมีนักปราชญ์ชาวญี่ปุ่นชื่อโทรุ มัทซุอิ สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่รับประทานอาหารอื่นใดเลยนอกจากสาหร่ายสไปรูลิน่าและสาหร่ายอื่นบ้างเป็นเวลา 15 ปี โดยไม่ปรากฏผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด

เราอาจจะพบสาหร่ายสไปรูลิน่าในรูปของเม็ด แคปซูล หรือเป็นผง เราสามารถรับประทานเป็นอาหารเสริมได้หลายรูปแบบ การบริโภคสไปรูลิน่าจะได้ผลเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับ อายุ ความเครียด นิสัยการบริโภค ปริมาณสารเคมีหรือสารตกค้างในร่างกาย ความรุนแรงของโรค

การบริโภคสาหร่ายในปริมาณที่เพียงพออย่างต่อเนื่อง ปริมาณการออกกำลังกายและการพักผ่อน โดยทั่วไป 3 วันแรก จะได้ปฎิกิริยาตอบรับ ร่างกายจะมีการปรับตัวมีการตอบรับที่ดีขึ้น ปัญหาสุขภาพที่มีอยู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น ในเดือนที่ 3-5 ก็จะฟื้นฟูจนปกติ ยกเว้นผู้ที่ร่างกายทรุดโทรมมากจนเซลล์ที่ประกอบเป็นอวัยวะเสียไปหมดแล้วก็จะไม่สามารถฟื้นฟูได้

ขอบคุณข้อมูลจาก ม.เกษตรศาสตร์ , ม.ขอนแก่น , หนังสือความลับของสาหร่ายเกลียวทอง และอื่นๆ

เผยโรคหัวใจ-หลอดเลือด คร่าชีวิตคนไทยพุ่งเป็นอันดับ 3

สธ.จัดโครงการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 10,000 ราย ถวายในหลวง หลังพบคนไทยตายด้วย "โรคหัวใจและหลอดเลือด" เป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุจราจร ขณะที่อัตราการตายพุ่งถึงร้อยละ 17 สูงกว่าต่างประเทศเกิน 2 เท่า...

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยหลังประชุมวิชาการและชี้แจงนโยบายการพัฒนาระบบการรักษาผู้ป่วย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในประเทศ แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป แพทย์และพยาบาลทั่วประเทศ จำนวนรวม 900 คน เพื่อให้ผู้ป่วยรอดชีวิตสูงขึ้น ซึ่งโรคนี้ไทยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าต่างประเทศ 2 เท่าตัว

นายวิทยา กล่าวว่า ในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการ "10,000 ดวงใจ ปลอดภัยด้วยพระบารมี” เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ประชาชนชาวไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ในการเข้ารับบริการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โครงการดังกล่าวเป็นโครงการนำร่อง การพัฒนาระบบการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดครั้งใหญ่ในประเทศ ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม 2555–28 กุมภาพันธ์ 2556 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4.8 ล้านบาท

เนื่องจากปัจจุบันโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตของคนไทย สูงเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งและอุบัติเหตุจราจร โดยมีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 18,000 ราย สาเหตุส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 เกิดมาจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากปัญหาหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน พบผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 22,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น


ด้านการศึกษาของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสถาบันโรคทรวงอก และหน่วยงานอื่นๆ ทั่วประเทศ 17 หน่วยงาน ยังพบว่าโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดรุนแรง มีอัตราการตายสูงถึงร้อยละ 17 ซึ่งสูงกว่าต่างประเทศที่พบร้อยละ 7 หรือกว่า 2 เท่าตัว กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายเร่งพัฒนาระบบริการผู้ป่วยประเภทนี้ให้กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งเป้าจะลดอัตราการเสียชีวิตให้เหลือไม่เกินร้อยละ 10

ส่วนการพัฒนาระบบการรักษาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลในสังกัด คือสถาบันโรคทรวงอก โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ รวม 244 แห่ง ให้สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มเกิดอาการ โดยให้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อช่วยชีวิตในระยะวิกฤติให้ปลอดภัย จนถึงขั้นการรักษาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และให้มีระบบการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาต่อในโรงพยาบาลภาครัฐอื่น ที่มีศูนย์รักษาผู้ป่วยโรคนี้ ได้แก่ โรงเรียนแพทย์ 10 แห่ง รพ.ทหารและตำรวจ 3 แห่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการต่อเนื่อง รวดเร็ว โอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น

ขณะที่ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือที่เรียกว่า "ฮาร์ท แอทแท็ค" (Heart Attack) เป็นภาวะวิกฤติฉุกเฉิน ต้องได้รับบริการอย่างเร็วที่สุด โดยสาเหตุที่หลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน เกิดจากมีไขมันหรือเนื้อเยื่อ ไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบลง พร้อมกับมีการร่อนหลุดของตะกรันดังกล่าวพร้อมกับมีลิ่มเลือดอุดหลอดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บเค้นอกคล้ายถูกของแหลมแทง ใจสั่น เหงื่อออก เหนื่อยขณะออกแรง เป็นลม หมดสติ อาการจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และมีโอกาสเสียชีวิตทันทีประมาณร้อยละ 30-40

ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นโรคที่รุนแรงที่ต้องได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว เพื่อให้การรักษาโดยเร็วที่สุด โดยมี 3 วิธี ได้แก่ 1. การให้ยาละลายหรือสลายลิ่มเลือด 2. การขยายหลอดเลือดแดงหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดค้ำยัน และ 3. การผ่าตัดเบี่ยงทางเดินหลอดเลือด ซึ่งจะได้ผลดีถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาภายใน 12 ชั่วโมง หลังมีอาการเจ็บหน้าอก โดยขณะนี้ ได้จัดทำคู่มือการดูแลรักษาผู้ป่วยส่งให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกระดับทั่วประเทศ เพื่อให้การปฏิบัติมีมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง


อย่างไรก็ตาม จากรายงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พบว่า ในปี 2554 มีผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน จำนวน 33,307 ราย ในจำนวนนี้เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดรุนแรง 11,024 ราย ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาพยาบาลอย่างถูกต้องคือ การเปิดหลอดเลือดด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดร้อยละ 32 และขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนร้อยละ 14 รวม 4,700 ราย

สำหรับระบบการบริการตามโครงการนี้ เมื่อมีผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บหน้าอก ให้เรียกใช้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน หมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อส่งต่อไปรับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทุกจังหวัด เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยขั้นต้น โดยการตรวจร่างกายและคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพื่อวินิจฉัยโรคภายใน 10 นาที หากพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดรุนแรง ให้ยารักษาขั้นต้นด้วยยาแอสไพรินเพื่อป้องกันเลือดแข็งตัว และส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์ หรือโรงพยาบาลทั่วไปในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อให้การรักษาตามความเหมาะสมต่อไป โดยถือเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารักษาได้ในโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน โดยไม่ต้องถามสิทธิ์ ไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า.


credit :http://www.thairath.co.th/

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน ขมิ้นชัน

credit   rspg.or.th

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma longa L.

ชื่อสามัญ : Turmaric

วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น : ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 30-90 ซม. เหง้าใต้ดินรูปไข่มีแขนงรูปทรงกระบอกแตกออกด้านข้าง 2 ด้าน ตรงกันข้ามเนื้อในเหง้าสีเหลืองส้ม มีกลิ่นเฉพาะ ใบ เดี่ยว แทงออกมาเหง้าเรียงเป็นวงซ้อนทับกันรูปใบหอก กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอก ช่อ แทงออกจากเหง้า แทรกขึ้นมาระหว่างก้านใบ รูปทรงกระบอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ใบประดับสีเขียวอ่อนหรือสีนวล บานครั้งละ 3-4 ดอก ผล รูปกลมมี 3 พู

ส่วนที่ใช้ : เหง้าแก่สด และแห้ง

สรรพคุณ :

เป็นยาภายใน
- แก้ท้องอืด
- แก้ท้องร่วง
- แก้โรคกระเพาะ

เป็นยาภายนอก
- ทาแก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง พุพอง
- ยารักษาชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน

วิธีและปริมาณที่ใช้

เป็นยาภายใน
เหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้ว เอามาขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง

เป็นยาภายนอก
เหง้าแก่แห้งไม่จำกัดจำนวน ป่นให้เป็นผงละเอียด ใช้ทาตามบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคัน โดยเฉพาะในเด็กนิยมใช้มาก

สารเคมี
ราก และ เหง้า มี tumerone, zingerene bissboline, zingiberene,(+) - sabinene, alpha-phellandrene, curcumone, curcumin

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน ข่า

credit rspg.or.th

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alpinia galanga (L.) Willd.

ชื่อสามัญ : Galanga

วงศ์ : Zingiberaceae

ชื่ออื่น : ข่าหยวก ข่าหลวง (ภาคเหนือ) , กฏุกกโรหินี (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 1.5-2 เมตร เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน ใบ เดี่ยว เรียงสลับ รูปใบหอก รูปวงรีหรือเกือบขอบขนาน กว้าง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก ช่อ ออกที่ยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 3 กลีบ กลีบใหญ่ที่สุดมีริ้วสีแดง ใบประดับรูปไข่ ผล เป็นผลแห้งแตกได้ รูปกลม

สรรพคุณ :

เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม
แก้อาหารเป็นพิษ
เป็นยาแก้ลมพิษ
เป็นยารักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ติดเขื้อแบคทีเรีย เชื้อรา

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

รักษาท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ท้องเดิน (ที่เรียกโรคป่วง) แก้บิด อาเจียน ปวดท้อง
ใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1-1 ½ นิ้วฟุต (หรือประมาณ 2 องคุลี) ตำให้ละเอียด เติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่ม ครั้งละ ½ ถ้วยแก้ว วันละ 3 เวลา หลังอาหาร

รักษาลมพิษ
ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ที่สด 1 แง่ง ตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรงพอให้แฉะๆ ใช้ทั้งเนื้อและน้ำ ทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อยๆ จนกว่าจะดีขึ้น

รักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง
ใช้เหง้าข่าแก่ เท่าหัวแม่มือ ตำให้ละเอียดผสมเหล้าโรง ทาที่เป็นโรคผิวหนัง หลายๆ ครั้งจนกว่าจะหาย

สารเคมี
1 - acetoxychavicol acetate น้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย monoterene 2 - terpineol, terpenen 4 - ol, cineole, camphor, linalool, eugenol

กลุ่มยารักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน กลากเกลื้อน กุ่มบก

credit rspg.or.th

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crateva adansonii DC. subsp. trifoliata (Roxb.) Jacobs

ชื่อสามัญ : Sacred Barnar, Caper Tree

วงศ์ : Capparaceae

ชื่ออื่น : ผักกุ่ม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 6-10 ม. ใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบประกอบยาว 7-9 ซม. ใบย่อยรูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 4-6 ซม. ยาว 7.5-11 ซม. ปลายแหลมหรือเรียวแหลม โคนแหลมหรือสอบแคบ ขอบเรียบ ใบย่อยที่อยู่ด้านข้างโคนใบเบี้ยว แผ่นใบค่อนข้างหนา เส้นแขนงใบข้างละ 4-5 เส้น ก้านใบย่อยยาว 4-5 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามง่ามใบใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว 3-7 ซม. กลีบเลี้ยงรูปรี กว้าง 2-3 มม. ยาว 4-5 มม. เมื่อแห้งมักเป็นสีส้ม กลีบดอกสีขาวอมเขียวแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือชมพูอ่อน รูปรี กว้าง 0.8-1.5 ซม. ยาว 1.2-1.8 ซม. โคนกลีบเป็นเส้นคล้ายก้าน ยาว 3-7 มม. เกสรเพศผู้สีม่วง มี 15-22 อัน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 4 ซม. ก้านชูเกสรเพศเมียยาวประมาณ 5 ซม. รังไข่ค่อนข้างกลมหรือรี มี 1 ช่อง ผลกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3.5 ซม. เปลือกมีจุดแต้มสีน้ำตาลอมแดง เมื่อแก่เปลือกเรียบ ก้านผลกว้าง 2-4 มม. ยาว 5-13 ซม. เมล็ดรูปคล้ายเกือกม้าหรือรูปไต กว้างประมาณ 2 มม. ยาวประมาณ 6 มม. ผิวเรียบ

สรรพคุณ :

ใบ - ขับลม ฆ่าแม่พยาธิ เช่น พวกตะมอย และทาแก้เกลื้อนกลาก

เปลือก - ร้อน ขับลม แก้นิ่ง แก้ปวดท้อง ลงท้อง คุมธาตุ

กระพี้ - ทำให้ขี้หูแห้งออกมา

แก่น - แก้ริดสีดวง ผอม เหลือง

ราก - แก้มานกษัย อันเกิดแต่กองลม

เปลือก - ใช้ทาภายนอก แก้โรคผิวหนัง

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด เสาวรส

credit  rspg.or.th
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Passiflora laurifolia L.

ชื่อสามัญ : Jamaica honey-suckle, Passion fruit, Yellow granadilla

วงศ์ : Passifloraceae

ชื่ออื่น : สุคนธรส (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้เถา เถามีลักษณะกลม ใบ เป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักลึก ที่ก้านใบมีต่อมใบ ดกหนา เป็นมันสีเขียวแก่ ดอก ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้อยคว่ำคล้ายกับดวงไฟโคม กาบดอกหุ้มสีเขียว กลีบชั้นนอกเป็นรูปกระบอก ปลายแฉกด้านหลังมีสีเขียวแก่ ด้านในมีสีม่วงอ่อนประกอบด้วยจุดแดง ๆ กลีบชั้นในลักษณะคล้ายกับตัวแฉกของกลีบชั้นนอก สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อนมีประสีแดงแซม กลีบย่อยกลางมีเป็นชั้น ๆ สองชั้นแต่ละกลีบค่อนข้างกลม สีม่วงแก่ พาดด้วยปลายสีขาวสลับแดง มีเกสรอยู่ตรงกลางสีเขียวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรงจัดมาก ผล เป็นรูปไข่หรือไข่ยาว มีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ ผิวผลสีม่วง สีเหลือง สีส้มอมน้ำตาล เปลือกผล เรียบ เนื้อรับประทานได้ มีเมล็ดจำนวนมาก อยู่ตรงกลาง

สรรพคุณ : ลดไขมันในเส้นเลือด

วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ผลที่แก่จัด ไม่จำกัดจำนวน ล้างสะอาด ผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมตามชอบ ใช้ดื่มเป็นน้ำผลไม้ ลดไขมันในเส้นเลือด

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด คำฝอย


credit  rspg.or.th
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carthamus tinctorius L.

ชื่อสามัญ : Safflower, False Saffron, Saffron Thistle

วงศ์ : Compositae

ชื่ออื่น : คำ คำฝอย ดอกคำ (เหนือ) คำยอง (ลำปาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 40-130 ซม. ลำต้นเป็นสัน แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรี รูปใบหอกหรือรูปขอบขนาน กว้าง 1-5 ซม. ยาว 3-12 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อย ปลายเป็นหนามแหลม ดกช่อ ออกที่ปลายยอด มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อบานใหม่ๆ กลีบดอกสีเหลืองแล้วจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบประดับแข็งเป็นหนามรองรับช่อดอก ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม สีขาว ขนาดเล็ก

สรรพคุณ :

ดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล
- รสหวาน บำรุงโลหิตระดู แก้น้ำเหลืองเสีย แก้แสบร้อนตามผิวหนัง
- บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ขับระดู แก้ดีพิการ
- โรคผิวหนัง ฟอกโลหิต
- ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน

เกสร
- บำรุงโลหิต ประจำเดือนของสตรี

เมล็ด
- เป็นยาขับเสมหะ แก้โรคผิวหนัง ทาแก้บวม
- ขับโลหิตประจำเดือน
- ตำพอกหัวเหน่า แก้ปวดมดลูกหลังจากการคลอดบุตร

น้ำมันจากเมล็ด
- ทาแก้อัมพาต และขัดตามข้อต่างๆ

ดอกแก่
- ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ชาดอกคำฝอย ช่วยเสริมสุขภาพ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด โดยใช้ดอกแห้ง 2 หยิบมือ (2.5 กรัม) ชงน้ำร้อนครึ่งแก้ว ดื่มเป็นเครื่องดื่มได้
สารเคมี
ดอก พบ Carthamin, sapogenin, Carthamone, safflomin A, sfflor yellow, safrole yellow
เมล็ด จะมีน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว
คุณค่าด้านอาหาร
ในเมล็ดคำฝอย มีน้ำมันมาก สารในดอกคำฝอย พบว่าแก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้
ในประเทศจีน ดอกคำฝอย เป็นยาเกี่ยวกับสตรี ตำรับยาที่ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้างไม่เป็นปกติ หรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว มักจะใช้ดอกคำฝอยด้วยเสมอ โดยต้มน้ำแช่เหล้า หรือใช้วิธีตำพอก แต่มีข้อควรระวังคือ หญิงมีครรภ์ ห้ามรับประทาน
ใช้ดอกคำฝอยแก่ มาชงน้ำร้อน กรอง จะได้น้ำสีเหลืองส้ม (สาร safflower yellow) ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด กระเจี๊ยบแดง

credit rspg.or.th
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa L.

ชื่อสามัญ : Jamaican Sorel, Roselle

วงศ์ : Malvaceae

ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบเปรี้ย ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้

สรรพคุณ :

กลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล

เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย

ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด

น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง

ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี

น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง

ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ

เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ

เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย

ใบ แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก

ดอก แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก

ผล ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ

เมล็ด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด

นอกจากนี้ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด ดังนี้คือ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน
นอกจากใช้เดี่ยวๆ แล้ว ยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป
สารเคมี
ดอก พบ Protocatechuic acid, hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin
คุณค่าด้านอาหาร
น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ

วันที่ 03 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7340 ข่าวสดรายวัน


น้ำผึ้ง


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



สวัสดีครับ ผม อยากรู้ว่าน้ำผึ้งที่ขายทั่วๆ ไป จะสังเกตได้ด้วย วิธีไหนครับ หรือจะทดลองด้วยวิธีไหนครับ

nachoom

ตอบ nachoom


รับ ปีใหม่กันด้วยเรื่องหวานๆ นี่เลย น้ำผึ้ง...จากเอกสารของหน่วยวิจัยผึ้งและผลิตภัณฑ์ผึ้ง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย พิชัย คงพิทักษ์ ให้ความรู้สรุปความได้ว่า การเลือกซื้อน้ำผึ้งเพื่อให้ได้น้ำผึ้ง ทำได้โดย 1.ดู น้ำผึ้งที่ดีต้องสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ ไม่มีฟองอากาศ สีของน้ำผึ้งต้องตรงตามชนิดของน้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้งลิ้นจี่มีสีขาวใส ลำไยมีสีน้ำตาลอ่อน ส่วนน้ำผึ้งที่มีสีดำคล้ำแปลว่ามันเก่าแล้ว นอกจากนั้นต้องดูการไหลของน้ำผึ้ง เมื่อเอียงภาชนะ ถ้าน้ำผึ้งไหลเร็วแสดงว่ามีน้ำปนอยู่มาก น้ำผึ้งดีต้องไหลช้า คือมีความหนืดสูง แสดงว่ามีน้ำในน้ำผึ้งน้อย อย่างไรก็ตาม น้ำผึ้งที่มีคุณภาพต่ำเมื่อนำไปดูดน้ำออกก็มีความหนืดสูงเช่นกัน จึงต้องพิจารณาสิ่งอื่นประกอบ เช่น ดูด้วยวิธีหยดน้ำผึ้งลงในน้ำชา หรือหยดลงบนกระดาษชำระเพื่อดูการแพร่กระจาย และดูผลึกน้ำตาล น้ำผึ้งใหม่ต้องไม่มีผลึกน้ำ ตาลอยู่ก้นภาชนะ


2.ดม น้ำผึ้งแต่ละชนิดมีกลิ่นเฉพาะตัวตามชนิดของพืชอาหาร และน้ำผึ้งต้องไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ถ้ามีแสดงว่าเริ่มบูดเสีย ต้องไม่มีกลิ่นเหม็นไหม้ที่ฟ้องว่าน้ำผึ้งนั้นผ่านการต้มหรือเคี่ยวด้วยความ ร้อนเพื่อระเหยน้ำ วิธีนั้นทำให้น้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาล เพิ่มขึ้น แต่ทำให้คุณสมบัติที่ดีที่มีอยู่ในน้ำผึ้งลดต่ำลง 3.ชิม น้ำผึ้งแต่ละชนิดมีรสชาติแตกต่างกัน น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่มีรสขมที่แสดงว่าผ่านการต้มหรือเก็บไว้นาน ขณะที่น้ำผึ้งที่มีน้ำตาลผสมจะมีรสน้ำตาลอยู่

กล่าวโดยสรุป การเลือกซื้อน้ำผึ้ง ต้องใช้วิธีการหลายอย่างประกอบกัน และที่มีความเชื่อว่าน้ำผึ้งป่าดีกว่าน้ำผึ้งเลี้ยง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะน้ำผึ้งป่าผ่านการเก็บที่ไม่ถูกต้อง มีความชื้นสูง บูดเสียง่าย ขณะที่น้ำผึ้งเลี้ยงที่ผ่านการบ่มจากผึ้ง ให้น้ำผึ้งเข้มข้นได้มาตรฐาน การเก็บบรรจุสะอาดดีกว่าน้ำผึ้งป่า นอกจากนั้น น้ำผึ้ง ใหม่จะมีคุณภาพสูง รสชาติดี กลิ่นหอมกว่าน้ำผึ้งที่เก็บไว้นาน แต่ควรกินน้ำผึ้งใหม่ให้หมด ไม่ควรเหลือไว้นาน ความชื้นในอากาศและ เชื้อยีสต์อาจทำให้บูดเสียได้


ยัง มีข้อแนะนำมาจากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดชุมพร (ผึ้ง) วิธีการดูน้ำผึ้งแท้ และน้ำผึ้งเทียม แบบง่ายๆ ตรวจสอบได้ด้วยตนเอง คือ ชิม น้ำผึ้งแท้จะมีรสหอมหวานตามธรรมชาติของดอกไม้ เมื่อดื่มน้ำตาม ความหวานจะหายไป และไม่มีรสเปรี้ยวติดลิ้น หรือทดสอบโดยนำก้านไม้ขีดไฟมาจุ่มน้ำผึ้ง จากนั้นนำไปจุดไฟที่กลักไม้ขีด น้ำผึ้งแท้จะติดไฟ แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติด หรือเทน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำ (แก้วใส) น้ำผึ้งจะไหลเป็นสายลงไปกองตัวที่ก้นแก้ว น้ำผึ้งละลายตัวช้า ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอม จะไหลแผ่กระจายในน้ำ และที่ก้นแก้วน้ำผึ้งจะละลายตัวเร็ว

หรือทดสอบโดยหยดน้ำผึ้ง 1-2 หยดลงบนกระดาษชำระ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะซึมผ่านกระดาษชำระช้า แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอมจะซึมเร็ว ยังมีวิธีทดลองโดยการใช้ไม้จิ้มน้ำผึ้งขึ้นมา ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะหยดไหลเป็นสายบางๆ ไม่ขาดสาย และพับกองเป็นชั้นๆ ก่อนจะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน หรือทดลองคว่ำขวดดูฟองอากาศ และส่องดูกับแสงสว่างเพื่อมองหาสายน้ำตาล ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่เห็นสาย น้ำตาล ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมองเห็นสายน้ำตาล รวมถึงทดลองเขย่าขวดดูฟองอากาศ และการแยกชั้น ถ้าน้ำผึ้งแท้ฟองอากาศจะใหญ่ ลอยตัวเร็ว ไม่เห็นการแยกชั้น แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งปลอม ฟองอากาศจะมีมาก ลอยตัวช้า มองเห็นการแยกชั้น

หรือ นำน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มาคนละลายในน้ำอุ่นครึ่งแก้ว ดมกลิ่น ชิมรส และส่องกับแสงดู ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะมีกลิ่นหอมของดอกไม้ รสหวานหอม มีความใสปราศจากสิ่งเจือปน ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือเหม็นไหม้ ไม่มีความหอม น้ำในแก้วก็ จะขุ่น
กาแฟลดความอ้วน?

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


กินกาแฟลดความอ้วนได้ไหมคะ ตอบด้วยนะ อยากทราบ

ปอย

ตอบ ปอย


เกี่ยว กับกาแฟโฆษณาสรรพคุณลดความอ้วน ภก.ดร.วิรัตน์ ทอง รอด ประชาสัมพันธ์สภาเภสัชกรรม ตอบเรื่องนี้ไว้ในนิตยสารหมอชาวบ้าน สรุปความว่า จากกระแสสังคม 2 ประการ ได้แก่ 1.หุ่นผอม เพรียวลม และ 2.บริโภคนิยม ทำให้เกิดแรงกดดันในสังคมที่ต้องการความผอมเป็นสรณะ เกิดความต้องการ หรืออุปสงค์ ต่อความผอมหุ่นดีเป็นจำนวนมหาศาล ที่เฝ้ารอคอยความหวังว่าเมื่อใดจะมียาดีหรือของวิเศษที่จะช่วยตอบสนองเติม เต็มความอยากผอม อยากสเลนเดอร์เหมือนนางแบบ เหมือนดารา

สำหรับกาแฟลด ความอ้วนที่ส่วนใหญ่โฆษณาด้วยการขายตรงแบบปากต่อปาก หรือโฆษณาแอบแฝงตามสื่อมวลชนที่ไม่ได้พูดตรงๆ แต่ใช้กิจกรรมหรือท่าทางสื่อสารให้เข้าใจว่ากาแฟนั้นช่วยลดความอ้วนได้ โดยผลิตภัณฑ์กาแฟจำนวนมากอ้างว่าได้เพิ่มเติมสารอาหารดีๆ บางอย่างที่ช่วยให้ลดความอ้วน เช่น ไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มกากอาหารในอุจจาระ, คอลลาเจน ที่พบได้ในเนื้อสัตว์ และจะถูกย่อยเป็นโปรตีนขนาดเล็ก ก่อนถูกดูดซึมเหมือนโปรตีนทั่ว ไป หรือ แอล-คาร์นิทีนและโครเมียม (ไม่มีผลต่อการลดน้ำหนัก) เป็น ต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นการอวดอ้าง โฆษณาเกินจริงทั้งสิ้น เพราะยังไม่มีหลัก ฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าสารเหล่านี้มีคุณสมบัติลดความอ้วนได้

อีก เหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ คือเครื่องหมาย "อย." ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่าได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ทั้งที่การได้เครื่องหมาย อย. นั้น หมายความว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดเป็นอาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ไม่ใช่ยา) และรับรองว่าได้ผ่านการผลิตตามหลักการผลิตที่ดีแล้ว คือผลิตมาอย่างมีสุข ลักษณะ เป็นการควบคุมขั้นตอนการผลิตเท่านั้น ไม่ได้รับรองสรรพคุณเหมือนหรือเทียบเท่ากับยาที่สามารถลดน้ำหนักหรือลดความ อ้วน ดังที่โฆษณาหรือแอบอ้าง

ทั้งนี้ เคยมีรายงานข่าวว่า อย.เคยเข้าจับกุมผลิตภัณฑ์กาแฟที่เติมยาลดความอ้วน ลงไปผสม และเมื่อนำไปตรวจพบว่าเป็น ยาไซบูทรามิน (sibutramine) ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนที่มีอันตรายสูง ในทางกฎหมายจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่จะต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป ผลข้างเคียงของยาไซบูทรามินที่พบบ่อย ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ที่สำคัญห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ดี ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีโรคต้อหิน รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรด้วย

นอกจากนี้ มีบทความทางการแพทย์รายงานว่า เครื่องดื่มมีส่วนสำคัญถึงครึ่งหนึ่งของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หรือครึ่งหนึ่งของความอ้วนเกิดจากเครื่องดื่ม โดยปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบ ทั้งชนิดที่เป็นชา สมุนไพร กาแฟ ฯลฯ ซึ่งมีการปรุงสี กลิ่นและรสให้น่ากิน และในจำนวนนั้นก็มีน้ำตาลที่ช่วยให้หวาน หรือครีมที่ช่วยให้เข้มข้นน่ากิน ทั้งน้ำตาลและครีมตลอดจนสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่มีอยู่ในเครื่องดื่ม ล้วนเป็นต้นเหตุถึงครึ่งหนึ่งของความอ้วนของมนุษย์

สรุปว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีเครื่องหมาย อย. ไม่ได้หมายความว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคได้ และย้ำว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น กาแฟ ถึงแม้จะผสมสารอาหารใดๆ ก็ตาม ก็ไม่มีคุณสมบัติในการลดความอ้วนได้ ตรงกันข้าม อาจทำให้เกิดโทษต่อสุขภาพ ถ้าบริโภคมากเกินไปหรือไม่เหมาะสม อาจต้องทนทุกข์กับผลข้างเคียงของยาอันตรายที่ลักลอบเติมมาในผลิตภัณฑ์เหล่า นั้นด้วย และบางครั้งอันตรายถึงชีวิต การเลือกผลิตภัณฑ์จึงควรอ่านฉลากให้ชัดเจน ใช้วิจารณญาณด้วยความรอบคอบ อย่าเชื่อคำกล่าวอ้างของผู้ขายหรือโฆษณาที่เกินความจริง ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมาย และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

สโลว์ฟู้ด

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติดิฉันเคยได้ยินคำว่า "สโลว์ฟู้ด" เป็นครั้งแรกจากเพื่อน แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายมากนัก น้าชาติช่วยไขข้อข้องใจด้วยค่ะ

จาก ธัญญา

ตอบ ธัญญา


คนต้นคิดการกินแบบสโลว์ฟู้ดหรือการกินแบบเนิบช้า คือ นายคาร์โล เปตรินี (Carlo Petrini) นักข่าวชาวอิตาเลียน ประจำคอลัมน์อาหารและไวน์ ซึ่งต่อต้านกิจการร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งที่ขยายสาขาเข้ามาในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี 2529 เปตรินีจึงชักชวนเพื่อนฝูงที่อยากรักษาวัฒนธรรมการกินแบบช้าๆ ละเมียดละไมของชาวอิตาเลียนเอาไว้ และร่วมกันก่อตั้ง "สมาคมสโลว์ฟู้ด" ขึ้นมาโดยใช้หอยทากเป็นสัญลักษณ์

ปรัชญาของสโลว์ฟู้ด คือ ดี (Good) สะอาด (Clean) และเป็นธรรม (Fair) คือ อาหารต้องผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาด ใส่ใจสุขภาพผู้บริโภค ราคาสมเหตุสมผล และเกษตรกรหรือผู้ผลิตอาหารควรได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม

หัวใจสำคัญของสโลว์ฟู้ด คือ ให้ความสำคัญกับศิลปะการทำอาหารและการชื่นชมรสชาติอาหาร พร้อมๆ กับการสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูงที่ล้อมวงกินข้าวด้วยกัน

เริ่มตั้งแต่ การใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบที่เน้นพืชผักที่ปลูกในท้องถิ่น ไม่ใช้สารเคมีมากนัก และความหลากหลายของพืชผักตามฤดูกาล สมาคมสโลว์ฟู้ดต่อต้านมาตรการที่ซูเปอร์มาร์เก็ตตั้งไว้เพื่อกีดกันพืชผัก ของชาวไร่ที่สีไม่สวยโดยถือว่าไม่ได้มาตรฐาน แล้วไปรับพืชผักที่ผลิตจากโรงงานมาวางขายตามชั้นวางแทน ทำให้ผักที่ผู้บริโภคเคยเลือกซื้อกลับมีเหลือให้เลือกไม่กี่ชนิด

ขั้นตอนการปรุงอาหารมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะผู้ปรุง อาหารต้องมีอารมณ์ดี ใส่ใจการปรุงอาหารและมีศิลปะในการทำอาหารจึงจะสรรค์สร้างอาหารจานอร่อยได้ ต่างจากการทำอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เน้นปริมาณอาหารเพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการ ความเร่งด่วนในการกิน ส่วนผู้นิยมอาหารแบบสโลว์ฟู้ดจะค่อยๆ กินกันไปคุยกันไป

เว็บไซต์ gourmetthai.com บอกข้อดีของการบริโภคแบบสโลว์ฟู้ดว่า ได้กินอาหารที่เป็นธรรมชาติจากท้องถิ่นเพราะเกษตรกรอาจไม่ใช้สารเคมีหรือใช้ แต่น้อย จึงปลอดภัยและมีความสด มีคุณค่าทางโภชนา การมากกว่าอาหารที่ต้องขนส่งมาจากที่ไกลๆ ซึ่งจะทำให้คุณค่าทางโภชนา การสูญเสียไปในระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะวิตามิน

ส่วนการปรุง อาหารแบบสโลว์ฟู้ดพิถีพิถันเพื่อกินเพียงมื้อเดียว ไม่ใช้สารเคมีประเภทสารกันบูด กันเชื้อรา จึงทำให้ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลดลง

การผลิตอาหารตามแนวคิดสโลว์ฟู้ดยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยเพิ่มความหลากหลายของพืชพันธุ์ตามธรรมชาติอีกด้วย

ด้านเว็บไซต์ slowfood.com ระบุว่าสมาคมสโลว์ฟู้ดมีสมาชิกกว่า 1 แสนคนใน 153 ประเทศ และมีสำนักงานในหลายประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี สหรัฐ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อังกฤษและชิลี อีกทั้งมีสมาชิกหน้าใหม่กว่า 5 พันคนต่อปี ขณะเดียวกัน มีผู้ผลิตอาหารรายย่อยเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1 หมื่นแห่ง และมีโรงเรียนกว่า 100 แห่งทั่วโลกที่ปลูกพืชผักสวนครัวในโรงเรียน

องค์ กรสโลว์ฟู้ดยังจัดประชุมชุมชนอาหารโลก Terra Madre ทุกๆ สองปี ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เป็นการพบปะกันระหว่างเกษตรกร ชาวประมง คนเลี้ยงสัตว์ นักวิชาการและผู้สนใจมาหารือและทำเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการผลิตแบบยั่งยืน และการอนุรักษ์พืชผักพันธุ์ท้องถิ่นที่กำลังสูญหาย

วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7516 ข่าวสดรายวัน


เพกา


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


เห็นลูกเพกาขายในตลาด อยากทราบประโยชน์ของเพกาว่าเป็นสมุนไพรรักษาโรคอะไรบ้างครับ

Surawit

ตอบ Surawit


มี คำตอบจากหน่วยปฏิบัติการวิจัยเคมีสารสนเทศ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับ"เพกา" และระบุสรรพคุณ "ยาร้อน แรงดี ต้านมะเร็ง ต้านหวัด แก้อักเสบ" เพกาเป็นผักที่คนไทยทุกภาคกินคล้ายกัน คือใช้ทั้ง ฝักอ่อน ดอก ยอดอ่อน กินเป็นผัก หรือปรุงเป็นอาหารได้หลายเมนู ทั้งมีความเชื่อว่ากินแล้วจะไม่เจ็บป่วย มีเรี่ยวแรงและบำรุงสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งตามศาสตร์ตะวันออกอธิบายว่า เพราะเพกามีรสขมร้อน ขณะที่มีรายงานทางเภสัชวิทยาพบว่า เพกามีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอล การที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลนั้นก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น จากนั้นอะไรๆ ก็ดีขึ้นเอง ซึ่งสรรพคุณนี้มีความคล้ายคลึงกับกระเทียม

ฝักอ่อนของ เพกาจะออกในต้นฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการหว่านข้าวกล้า ไถนา คราดนา การรับประทานฝักอ่อนของเพกาซึ่งมีรสขมร้อนก็จะทำให้ร่างกายอบอุ่น ต่อสู้กับอากาศที่ชื้นเย็นซึ่งนำพาโรคหวัด ไอ หอบหืดมากับฤดูฝน การที่ฝักเพกาเป็นยาร้อน คนท้องจึงกินไม่ได้เพราะจะทำให้แท้งได้ ว่ากันว่าเพกาเป็นยาที่ร้อนมาก เพียงแค่เผาฝักกินบนบ้าน ควายที่กำลังตั้งท้องก็อาจจะแท้งได้ ส่วนฝักเพกาที่แก่จะแตกออกแล้วเมล็ดที่มีปีกบางๆ สีขาวก็จะปลิวลอยล่องไปตามลมสวยงามมาก เมล็ดของเพกามีสรรพคุณตรงข้ามกับฝักอ่อน คือมีรสเย็น เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ผสมอยู่ในน้ำจับเลี้ยงของจีน เป็นยาเย็นมีฤทธิ์แก้ไอ ขับเสมหะ



และ จากความเชื่อของคนโบราณที่บอกว่ากินฝักเพกาแล้วจะทำให้ไม่เจ็บป่วยนั้น มีรายงานการศึกษาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งคือ การวิจัยผักพื้นบ้านไทยของ เกศินี ตระกูลทิวากร จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาผักทั้งหมด 48 ชนิด เพกาเป็นผัก 1 ใน 4 ชนิดที่มีฤทธิ์ต้านการก่อมะเร็งสูงสุด เนื่องจากในฝักเพกามีวิตามินสูงมาก และยังมีวิตามินเอ 8,221 มิลลิกรัมใน 100 กรัม พอๆ กับตำลึงทีเดียว เช่นเดียวกับการศึกษาพืชสมุนไพรในบังกลาเทศ พบว่าในพืชสมุนไพรพื้นบ้าน 11 ชนิด เพกาแสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งทุกชนิดสูงสุด รองลงไปคือมะตูม

นอกจาก นี้ยังมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในการแยกสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง จากเมล็ดของเพกาเช่น chrysin, baicalein เป็นต้น พบว่าสารสกัดจากเปลือกรากมีฤทธิ์ในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้หมอพื้นบ้านจังหวัดปราจีนบุรี คุณตาส่วน สีมะพริก ยังบอกว่าเปลือกต้นหรือเปลือกรากของเพกาต้มกิน (ซึ่งจะต้มเดี่ยวๆ หรือต้มรวมกับแก่นซองแมว ซึ่งเป็นตำรับที่คุณตาต้มรับประทานเป็นประจำ) แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาฝีทั้งภายในภายนอก บำรุงร่างกายให้แข็งแรง

เพกา เป็นสมุนไพรที่หมอยาพื้นบ้านใช้มากชนิดหนึ่ง ตั้งแต่ใบซึ่งเป็นยาเย็น เป็นส่วนประกอบสำคัญของยาเขียว รสฝาดขม ต้มน้ำดื่มแก้ปวดข้อ ปวดท้อง เจริญอาหาร รากมีรสฝาดขมร้อน เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เกิดน้ำย่อยอาหาร ขับเสมหะ ขับน้ำออกจากร่างกาย เป็นยาแก้ท้องร่วง ถ้าฝนกับน้ำปูนใสก็ใช้ทาแก้อักเสบฟกบวม ส่วนเปลือกต้นรสฝาดเย็น ขมเล็กน้อย สมานแผล แก้น้ำเหลืองเสีย ดับพิษโลหิต ต้มกิน หรือป่นเป็นผงทำเป็นลูกกลอน หรือใช้ผงกินกับน้ำ ขับเหงื่อ แก้ไขข้ออักเสบเฉียบพลัน บำรุงโลหิต แก้บิด แก้จุกเสียด ฝนกับสุรากวาดปากเด็ก แก้พิษซาง ผงเปลือกผสมขมิ้นชันเป็นยาแก้ปวดหลังของม้า เมล็ดต้มกินเป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ

แทบจะกล่าวได้ว่าส่วนประกอบสำคัญในยาโพะ ยานึ่ง ยานั่ง ยาอาบ ยาประคบ ยาพอก ยาฝน รวมทั้งในตำรับของยากิน ทั้งยาต้ม ยาลูกกลอน ยาผง ของหมอยาทุกภาค ล้วนไม่เคยขาดเพกาเป็นส่วนประกอบเลย

"ส้มเขียวหวาน" หากินง่ายได้ประโยชน์

ถ้าพูดถึงผลไม้ที่หากินได้ง่าย มองไปทางไหนก็เจอ แถมมีให้กินทุกฤดูกาลแล้วละก็ "108 เคล็ดกิน" เป็นต้องนึกถึง "ส้มเขียวหวาน" ขึ้นมาทันที เรียกว่าไปตลาดไหนๆ ถ้าไม่เจอส้มเขียวหวานนี่ก็เรียกได้ว่าผิดปกติ
     
       และเนื่องจากที่เป็นผลไม้หาง่าย หลายคนจึงมองข้ามส้มเขียวหวานไป กลับไปหาอะไรที่หาได้ยากกินกันแทน ทั้งที่ส้มเขียวหวานลูกเล็กๆ นี้ มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีที่มีอยู่มากมายที่ป้องกันโรคไข้หวัด ช่วยบรรเทาอาการกระหาย ช่วยป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ช่วยลดปริมาณของคอเลสเตอรอลในเลือด แถมยังช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารภายในร่างกายเป็นไปอย่างปกติอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น พบว่าการกินส้มเขียวหวานอาจช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งตับได้ เนื่องมาจากสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ส้มมีสีส้ม
     
       สำหรับผู้รักความงามทั้งหลาย "108 เคล็ดกิน" มีสูตรหน้าใสจากส้มมาฝากกัน ด้วยการคั้นน้ำส้มสดๆ ผสมกับโยเกิร์ต แล้วนำมาพอกหน้าไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิตามินซีและ AHA ในส้มจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกไป หรือถ้าใครไม่อยากพอกหน้า จะใช้สูตรนี้กินเข้าไปเลยก็ได้ประโยชน์พอๆ กัน

กินให้สดใสเตรียมรับปีใหม่

เป็นยังไงกันบ้างกับชีวิตที่ผ่านมาจนเกือบจะครบปีในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว สำหรับ "108 เคล็ดกิน" เองก็ใช่ว่าจะมีความสุขทุกวันตลอดปี ก็มีทุกข์บ้างสุขบ้างตามปกติ ยังไงก็ตาม ต้องขออวยพรล่วงหน้าให้ปีหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นปีหมูทองที่มีแต่สิ่ง ดีๆ สำหรับทุกคนโดยถ้วนหน้านะจ๊ะ
     
       มาถึงเรื่องกินของเราบ้างดีกว่า เพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่อย่างสดใส "108 เคล็ดกิน" จึงมีเคล็ดลับการกินอาหารให้ร่างกายสดใสอยู่ได้ตลอดวัน เริ่มจากการกินอาหารมื้อเช้าเป็น อย่างเเรก ถ้าใครมัวแต่ตื่นสายไม่ได้กินมื้อเช้าก็จะไม่ได้รับพลังงานที่พอเพียง แถมยังมึนๆ เบลอๆ เหมือนไม่มีแรง และอาหารเช้านั้นก็ควรจะประกอบด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่จะสามารถเปลี่ยน เป็นพลังงานได้เร็ว ส่วนโปรตีนก็จะทำให้สมองตื่นตัว
     
       นอกจากนั้นยังต้องลดอาหารไขมันลงด้วย เพราะนอกจากจะทำให้พุงยื่นแล้ว ร่างกายยังต้องใช้เวลาย่อยไขมันนานกว่าอาหารชนิดอื่น ทำให้ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดที่ไหลไปเลี้ยงสมอง ทำให้รู้สึกอ่อนล้าหมดเเรงได้ จากนั้นสดใสกันต่อกับธาตุเหล็ก เพราะการขาดธาตุเหล็กจะทำให้เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ดังนั้นจึงต้องกินธาตุเหล็กให้พอเพียงด้วยการกินเนื้อสัตว์ ไข่แดง และผักใบเขียว นอกจากนั้นก็ยังต้องกินผลไม้ที่มีวิตามินซีด้วย เพราะจะช่วยดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี อ้อ.. แล้วก็อย่าลืมวิตามินบี ที่มีมากในตับ เครื่องใน รำข้าว ข้าวกล้อง กล้วย และนม จะทำให้มีเรี่ยวมีเเรงสดใสรับปีใหม่ได้แน่นอน

บัญญัติ 12 ประการ เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง (จบ)

       ครั้งก่อน "108 เคล็ดกิน" ได้พูดถึง 5 อาหารที่ควรกินเพื่อป้องกันมะเร็งกันไปแล้ว คราวนี้มาว่าด้วยเรื่องของอีก 7 ประการที่ควรทำเพื่อลดการเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกันบ้าง
     
       ข้อแรกเลยคือต้องไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น บางคนอาจกินเชื้อราไปโดยไม่ได้สังเกต หรือลืมดูวันหมดอายุ อาหารที่มีราขึ้นเหล่านั้น โดยเฉพาะราที่มีสีเขียวหรือเหลือง จะมีสารอัลฟาทอกซินปนเปื้อนซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับ ข้อสองคือต้องลดอาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมาก ส่วนอาหารดองเค็ม หรืออาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท-ไนไตร์ท รวมทั้งอาหารปิ้งย่าง รมควัน ก็ควรลด-ละ-เลิก เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เสี่ยงต่อ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่
     
       ข้อถัดมาคือต้องไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ เพราะจะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้ำดีในตับ ที่สำคัญคือต้องหยุดหรือลดการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด กล่องเสียง และการเคี้ยวยาสูบก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปากและช่องคอ การดื่มแอลกอฮอล์ก็ ควรลดเช่นกัน เพราะหากดื่มมากๆ เข้าก็จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ตับ ถ้าทั้งดื่มและสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง และหลอดอาหาร มีใครอยากเป็นบ้างไหมล่ะ และข้อสุดท้าย หลบเลี่ยงแสงแดดกันหน่อย ตากแดดจัดมากๆ ก็ระวังจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

บัญญัติ 12 ประการ เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง (1)

       โรคมะเร็ง เป็นโรคที่ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิดกับตัวเองหรือคนรอบข้าง ก็โรคนี้น่ะหายก็ยาก แถมเป็นแล้วก็แสนทรมาน วันนี้ "108 เคล็ดกิน" เลยมีข้อพึงปฏิบัติ 12 ประการเพื่อป้องกันและลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ที่ทางกองโภชนาการ กรมอนามัยเขาบอกมาฝากกัน
     
       สำหรับ 5 ข้อแรก เป็นอาหารที่ควรกินเพื่อป้องกันมะเร็ง ข้อแรกคือ ต้องกินผักตระกูลกะหล่ำให้ มาก ทั้งกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี่ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และระบบทางเดินหายใจ ข้อต่อมา ต้องกินอาหารที่มีกากมาก คือผักผลไม้ทั้งหลายและธัญพืชต่างๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
     
       ข้อถัดมาคือต้องกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง ป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และมะเร็งปอด ข้อถัดไป อย่าลืมกินอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร และสุดท้ายคือต้องควบคุมน้ำหนักตัว เพราะโรคอ้วนนั้นจะมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ ซึ่งการออกกำลังกายและลดการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงจะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เหล่านี้ได้

รับมือกับโรคความดันสูง

ตามปกติแล้วความดันโลหิตของคนเรามักจะไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท หากความดันใครสูงเกินกว่านี้ก็ถือว่าเป็น "โรคความดันโลหิตสูง" แล้วล่ะ
       

       บางคนเรียกโรคความดันโลหิตสูงนี้ว่า "ฆาตกรเงียบ" เพราะเป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการ แต่จะรู้ตัวก็เมื่อมีร่างกายส่งสัญญาณอันตราย เช่น ปวดหัว เวียนหัว ตาพร่า แต่ถ้าความดันสูงเกินปกตินานๆ ก็จะทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย หลอดเลือดหัวใจตีบ ไตวาย หรือเส้นโลหิตในสมองตีบหรือแตก ทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ และสำหรับคุณผู้ชาย โรคความดันสูงเป็นสาเหตุหนึ่งของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย วันนี้ "108 เคล็ดกิน" จะมาแนะนำคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง
     
       อย่างแรกคือเรื่องอาหารการกิน ต้องงดอาหารเค็มๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเค็ม ปลาเค็ม ไข่เค็ม กะปิ หรือพวกอาหารดองเค็มทั้งหลาย รวมทั้งอาหารอื่นๆ ที่ปรุงด้วยเกลือหรือน้ำปลาก็ต้องกินให้น้อยที่สุด แต่ไม่ใช่แค่อาหารเค็มจัดเท่านั้นที่ต้องงด รสหวานจัดก็ควรกินให้น้อยด้วยเช่นกัน อาหารที่มีไขมันสูงก็ต้องหลีกเลี่ยง ปรุงอาหารด้วยวิธีต้ม นึ่ง ปิ้ง ย่างเป็นพอ ส่วนเหล้าเบียร์บุหรี่ก็ลาขาดได้เลย
     
       สำหรับคนที่อยากกินอาหารแทนยาเพื่อลดความดัน ขอแนะนำให้กินขึ้นฉ่าย ผักที่นำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง รวมทั้งกระเทียมและตะไคร้ ก็เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีสรรพคุณลดความดันได้เช่นกัน
     
       เรื่องของจิตใจก็มีความสำคัญกับโรคความดันสูงมากทีเดียว ดังนั้นพยายามอย่าเครียด และต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย ใครที่นั่งติดโต๊ะทำงานตลอดทั้งวันนั้นไม่ดีแน่ แต่การออกกำลังของคนเป็นโรคความดันก็ต้องระวัง ห้ามออกกำลังประเภทที่ต้องใช้แรงดึงดัน เอาเป็นว่าการเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยานก็ใช้ได้แล้ว