Showing posts with label อื่นๆ จิปาถะ. Show all posts
Showing posts with label อื่นๆ จิปาถะ. Show all posts

ชี้อุณหภูมิแปซิฟิกต้นตอนกครึ่งหมื่น-โลมาเกือบพันตายเกลื่อนชายฝั่งเปรู


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤษภาคม 2555 02:10 น.


       เอเอฟพี - รัฐบาลเปรูเผยเมื่อวันพุธ (9) ว่านกกว่า 5,000 ตัว ส่วนใหญ่เป็นนกกระทุงและโลมาเกือบ 900 ตัวที่พบตายเกลื่อนตามแถบชายฝั่งทางเหนือของประเทศ มีความเป็นไปได้ที่อาจมีสาเหตุมาจากระดับอุณหภูมิที่สูงขึ้นของน้ำใน มหาสมุทรแปซิฟิก
     
       เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายหาดต่างๆ ทางเหนือของเปรูถูกประกาศให้เป็นเขตห้ามเข้า ขณะที่เหล่า
       นักวิทยาศาสตร์เร่งดำเนินการสรุปว่าอะไรคือสาเหตุของปรากฏการณ์แปลก ประหลาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่อาจเกิดจากเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งองค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไรกล่าวโทษโครงการสำรวจหาแหล่งน้ำมันในทะเล
     
       อย่างไรก็ตาม ทาง กาเบรียล กวิจานเดรีย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของเปรู โต้แย้งว่าน้ำที่อุ่นขึ้นน่าจะเป็นสาเหตุของโลมาเกยตื้นและนกตายมากกว่า เนื่องจากมันก่อผลกระทบต่อแหล่งอาหารของสัตว์เหล่านี้
     
       เขาบอกว่าแม้ผลชันสูตรโลมา 877 ตัวที่เกยตื้นตามชายฝั่งยังไม่แล้วเสร็จ แต่เบื้องต้นพบว่าการปนเปื้อนโลหะหนักหรือติดเชื้อแบคทีเรียไม่เกี่ยวข้อง กับการตายของสัตว์เหล่านั้น

       กวิจานเดรีย บอกต่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ปรากฏการณ์นี้จะแผ่ลามไปยังพื้นที่ชายฝั่งอื่นๆ และผลก็คืออาจพบนกและสัตว์ทะเลอื่นๆ ตายมากกว่านี้
     
       ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขของเปรูได้ประกาศเตือนและเรียกร้องให้ประชาชนอยู่ห่างจาก ชายหาดต่างๆ ทั่วเมืองลิมาและชายฝั่งทางเหนือของประเทศจนกว่าจะทราบสาเหตุการเสียชีวิต ของฝูงโลมา
     
       ก่อนหน้านี้องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ORCA กล่าวโทษการตายของโลมาว่าเกิดจากการทดสอบคลื่นสั่นสะเทือนเพื่อหาแหล่ง น้ำมันในพื้นที่ ซึ่งจะก่อเสียงใต้น้ำที่สามารถทำร้ายโลมาได้
     
       อย่างไรก็ตาม คาร์ลอส ยาเพน ตัวแทนของกลุ่มเผยในวันพุธ (9) ว่าจากการตรวจสอบซากโลมา 30 ตัวพบว่ามีสภาพกระดูกหูแตกและอวัยวะบางส่วนได้รับความเสียหายสอดคล้องกับ สัตว์ที่ป่วยเป็นโรคลดความกด
       (เมาความกดอากาศ)
     
       ด้าน อับราฮัม เลวี ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศบอกกับเอเอฟพีเมื่อวันอังคาร (8) ว่าอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นของน้ำ
       ในมหาสมุทรแปซิฟิกสืบเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนิโญ น่าจะเป็นต้นตอการตายของโลมาและนกตามชายฝั่ง

ผุด ‘สวนใบกระดานฝากข้อความ’ นักท่องเที่ยว...ในไต้หวัน!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2555 18:04 น.

รอยขีดเขียนบนใบอากาเว่ (Crown Agave) พันธุ์ไม้ที่ขึ้นชื่อของสวนพฤกษศาสตร์ "สายน้ำหวน" ในไถตง ไต้หวัน (ภาพ เอเจนซี)
      

กลุ่มนักท่องเที่ยวในสวนพฤกษศาสตร์ "สายน้ำหวน" ในไถตง ไต้หวัน (ภาพ เอเจนซี)
       หวนฉิวหวั่ง - ที่ สวนพฤกษศาสตร์ “สายน้ำหวน” อำเภอไถตง ไต้หวัน ปรากฏใบอากาเว่มงกุฏ (Crown Agave, ชื่อวิชาการ : Agave attenuata Nerva) พันธุ์ไม้ที่ขึ้นชื่อของสวนฯ ราว 30 ต้น ประมาณ 400-500 ใบ กลายเป็นกระดานฝากข้อความ มีใบไม้ไม่กี่ใบที่รอดพ้นจากการขีดเขียน พนักงานทำความสะอาดของสวนแห่งนี้เล่าว่าเป็นฝีมือของบรรดา “ยอดนักบันทึก” จากจีนแผ่นดินใหญ่
      
       ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. มีนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่กลุ่มหนึ่งจาก เมืองจังจยาเจี้ย มณฑลหูหนาน มาถ่ายรูปเล่นกันที่สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ และพบว่าบนใบอากาเว่มีตัวอักษรสลักไว้ จึงได้เรียกพรรคพวกมามุงดู
      
       บนใบไม้ มีตัวอักษรสลักไว้ว่า “หวังกังจากมณฑลเหอหนาน” “เสี่ยวซูจากหนานจิง ได้มาเที่ยวที่นี่” อีกทั้งยังมีอักษรจีนแบบตัวย่อ ที่จีนแผ่นดินใหญ่ใช้กัน เขียนข้อความว่า “ภูเขาเขียว เมฆขาว ช่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม”
      
       อากาเว่บางใบ มีคนมาสลักข้อความต่อเติม ใบหนึ่งเขียนว่า “ปี 2553” ส่วนข้อความใหม่เขียนว่า “13 เม.ย. 2555”
      
       นักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่คนหนึ่งเดินพลิก ดูใบอากาเว่ พร้อมทั้งพูดว่า “ดูซิว่ามีรอยสลักจากคนจังจยาเจี้ย บ้านเราบ้างหรือเปล่า?” สักครู่หนึ่งจึงร้องออกมากด้วยความตื่นเต้นว่า “มีจริงๆ ด้วย !” กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มาด้วยกันและกำลังถ่ายรูปทิวทัศน์อยู่ ทั้งหมดหันกลับมาแย่งกันถ่ายรูปกล้วยไม้กระดานฝากข้อความที่ว่านี้กันยกใหญ่
      
       พนักงานทำความสะอาดเผยว่า “พฤติกรรมสลักชื่อทิ้งไว้นี้เกิดขึ้นบ่อย โดยผู้ที่ทำส่วนใหญ่เป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่” พวกเขามักจะเห็นนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่นำกิ่งไม้แห้งหรือหินมาขีดเขียน ลงบนใบอากาเว่ แม้ว่าที่บริเวณสวนพฤกษชาติจะมีดอกไม้และต้นไม้หลากหลายชนิด แต่นักท่องเที่ยวเลือกที่จะสลักลงที่ต้นอากาเว่ เพราะใบมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ง่ายต่อการสลัก
      
       พนักงานทำความสะอาดเล่าว่า เกิดเหตุการณ์เช่นนี้มา 2 ปีกว่าแล้ว แม้ว่าทางสวนพฤกษชาติจะออกมาตราการ ห้ามเดินลงไปในสนามหญ้า ห้ามหักกิ่งต้นไม้ดอกไม้ แต่พวกนักท่องเที่ยวก็ไม่สนใจเลย เหล่าพนักงานเคยเข้าไปห้ามนักท่องเที่ยวจีนที่จะลงไปถ่ายรูปในแปลงดอกไม้ แต่ก็มีปากเสียงกัน
      
       กลุ่มทัวร์จีนแผ่นดินใหญ่จากเมืองจัง จยาเจี้ยแย้งว่า ถึงแม้บนใบไม้จะสลักคำว่า เหอหนาน หนานจิงหรือสลักด้วยอักษรจีนตัวย่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นฝีมือของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ “บางทีอาจมีคนตั้งใจใส่ร้ายเราก็ได้”
      
       หลิน เหวยหลิง ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักบริหารจัดการการท่องเที่ยวเขตชายฝั่งทะเลตงไห่ เปิดเผยว่าที่แหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์ “สายน้ำหวน”แห่งนี้ครอบคลุมเนื้อที่ 3 เฮกเตอร์ (ประมาณ 18ไร่ 3งาน) มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแค่คนเดียว จึงยากที่จะดูแลพื้นที่ทุกส่วน แต่การสลักข้อความลงบนใบอากาเว่ต้องแก้ไขโดยเร็ว ในอนาคตจะเพิ่มข้อบังคับให้เข้มงวด พร้อมทั้งกำชับบริษัททัวร์และมัคคุเทศก์ให้ช่วยดูแลสอดส่อง ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ทางเราจะแจ้งความผู้กระทำผิดทันที.

แผ่นดินไหวรุนแรง 8.7 ถล่มอิเหนา จับตาคลื่นยักษ์ก่อตัวในมหาสมุทรอินเดีย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2555 15:56 น.
เอเอฟพี/เอเจนซี - เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 8.7 นอกชายฝั่งเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย วันนี้ (11) ทำให้ประชาชนในพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลหลายประเทศแตกตื่นอพยพหนีตาย ขณะที่ศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิกประกาศเตือนภัยคลื่นยักษ์ในฝั่งมหาสมุทรอินเดียแล้ว

กรมสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ หรือยูเอสจีเอสระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรงขนาด 8.7 เกิดขึ้นห่างจากจังหวัดบันดา อาเจะห์ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 500 กิโลเมตร ที่ความลึก 33 กิโลเมตร โดยปรับลดความรุนแรงลงจากก่อนหน้านี้ที่ระดับ 8.9

ด้านสำนักงานบรรเทาภัยพิบัติของอินโดนีเซียเผยว่า เกิดอาฟเตอร์ช็อกขนาด 6.5 ในจังหวัดอาเจะห์ หลังแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งนี้ด้วย

ขณะที่แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวครั้งนี้สามารถรับรู้ได้ในหลายประเทศ ทั้งสิงคโปร์ อินเดียตอนใต้ และไทย อีกทั้งยังมีการประกาศเตือนภัยสึนามิในอินเดีย บริเวณหมู่เกาะอันดามัน และนิโคบาร์ ศรีลังกา บริเวณชายฝั่งทางตะวันออก เช่นเดียวกับหลายจังหวัดทางภาคใต้ของไทย

ยิ่งไปกว่านั้น แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังเกิดใกล้เคียงกับพื้นที่เดียวกับแผ่นดินไหวระดับ 9.1 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 2004 ซึ่งส่งคลื่นยักษ์ถล่มเกาะสุมาตรา คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 170,000 ราย จากยอดเหยื่อรวม 230,000 คนใน 13 ประเทศฝั่งมหาสมุทรอินเดีย

วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7285 ข่าวสดรายวัน


โรงเรียนป่าไม้


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ร.ร.ป่าไม้แพร่ ยังเปิดสอนอยู่ไหม รับวุฒิอะไร ขอทราบข้อมูลและประวัติโรงเรียนนี้ด้วยครับ

Oho

ตอบ Oho

พ.ศ.2536 เป็นปียุติการสอนของโรงเรียนการป่าไม้ หลังจากผลิตนักศึกษา 36 รุ่น มีผู้จบการศึกษา 6,180 คน ทั้งนี้ เป็นผลจากการปรับโครงสร้างให้โรงเรียนป่าไม้เปลี่ยนสถานภาพเป็น "โรงเรียนการป่าไม้" สังกัดกองฝึกอบรมกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2535 ทำหน้าที่ฝึกอบรมข้าราชการ พนักงานของกรมป่าไม้ หน่วยงานอื่นๆ ตลอดจนเยาวชน ต่อมาการปฏิรูประบบราชการ พ.ศ.2545 ส่งผลให้โรงเรียนการป่าไม้ต้องเปลี่ยนสถานะอีกครั้งเป็น "ศูนย์ฝึกอบรมที่ 1 (แพร่)" สังกัดกองฝึกอบรม กรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรฯ กระทั่งปี 2547 เปลี่ยนแปลงต้นสังกัดมาอยู่กับสำนักบริหารงานกลาง ทำหน้าที่เช่นเดิม

สำหรับ ประวัติความเป็นมาโรงเรียนการป่าไม้ เริ่มจากครั้งรัฐบาลมีความพยายามจะสำรวจสถานการณ์ไม้สักในพื้นที่มณฑลพายัพ โดยขอความร่วมมือไปยังรัฐบาลอินเดียของอังกฤษ เพื่อยืมตัวข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถในการป่าไม้ ซึ่งรัฐบาลอินเดียของอังกฤษได้ให้รัฐบาลไทยยืมตัว เอช. สเลด (H.Slade) เข้ามาช่วยงานตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2438 จนดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2439 โดยนายสเลดได้กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ปีเดียวกัน ถึงข้อบกพร่องต่างๆ รวมถึงการศึกษาและการฝึกฝนทางวิชาการป่าไม้ของไทย ซึ่งในระยะนั้นยังไม่มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการป่าไม้เลย

จวบ จน พ.ศ.2458 จึงมีการจัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาการป่าไม้ขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยจัดตั้งขึ้นในแผนกยันตรศึกษา โรงเรียนข้าราชการพลเรือน วังใหม่สระปทุม สอนวิชาการป่าไม้เบื้องต้นหลักสูตร 2 ปี แต่หลังจากเปิดได้เพียง 3 ปี ก็ต้องเลิกไปเนื่องจากไม่มีผู้สนใจเรียน

เมื่อมีการเลิกสัมปทาน ป่าไม้ของบริษัทอีสเอเชียติก จำกัด บริษัทได้มอบอาคารสถานที่ที่จังหวัดแพร่ให้กับกรมป่าไม้ ในเดือนตุลาคม 2478 โดยพระยาพนานุจร (เปล่ง สาครบุตร) อธิบดีกรมป่าไม้ จัดตั้งเป็น "กองโรงเรียนป่าไม้" ขึ้น ให้ หลวงวิลาสวันวิท (เมธ รัตนประสิทธิ์) เป็นหัวหน้ากอง มีหน้าที่ให้การศึกษาด้านวิชาการป่าไม้ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพแก่เจ้า หน้าที่ของกรมป่าไม้ในระดับล่าง ตลอดจนบุคคลภายนอกที่มีความสนใจ โดยเปิดทำการเรียนการสอนเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2479 รับนักศึกษาจำนวน 25 คน จากการสอบแข่งขันของข้าราชการกรมป่าไม้ และบุคคลภายนอกที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 8

พ.ศ.2486 เลื่อนฐานะโรงเรียนการป่าไม้เป็น "วิทยาลัยวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" สอนระดับอนุปริญญาหลักสูตร 3 ปี จนกระทั่งปี 2499 ได้ขยายหลักสูตรเป็นปริญญาตรี 5 ปี และย้ายสถานที่ทำการสอนจากเดิมมาเป็นคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร

กรมป่าไม้เปิดทำการเรียนการสอน ณ โรงเรียนการป่าไม้ แพร่ อีกครั้ง วันที่ 17 พฤษภาคม 2499 โดยเปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการป่าไม้ (หลักสูตร 2 ปี) มีนายรัตน์ พนมขวัญ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน รับนักศึกษาจำนวน 50 คน จากข้าราชการของกรมป่าไม้ ก่อนเพิ่มขึ้นเป็น 100 คน กระทั่งปี 2507 จึงเปิดรับสมัครบุคคลภายนอกที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ร่วมกับการคัดเลือกข้าราชการของกรมป่าไม้ ที่สุดปี 2508 จึงรับบุคคลภายนอกทั้งหมด จำนวน 200 คน จากนักเรียนสายวิทย์-คณิต

พ.ศ.2536 กำหนดให้คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ผลิตบุคลากรให้กรมป่าไม้แทน และเปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนป่าไม้เป็นโรงเรียนการป่าไม้ ดังกล่าว โรงเรียนป่าไม้แพร่ที่เปิดสอนมายาวนาน 36 ปีก็สิ้นสุดลง


วันที่ 06 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7312 ข่าวสดรายวัน


ทีดีอาร์ไอ


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



คุณน้า อยากทราบว่าทีดีอาร์ไอเป็นหน่วยอะไร และตั้งอยู่ที่ไหน

MU214

ตอบ MU214


สถาบัน วิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เป็นสถาบันวิจัยเชิงนโยบายที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2527 บริหารงานในรูปของมูลนิธิ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร โดย ทีดีอาร์ไอ (TDRI) ย่อมาจาก The Thailand Development Research Institute ดำเนินการวิจัยเชิงนโยบายในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจ และเผยแพร่ผลงานวิจัยต่อหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานระหว่างประเทศ ตลอดจนริเริ่มการวิจัยเอง เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายระยะยาวอันมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศไทยอย่างต่อเนื่องให้เป็นนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและ มีคุณภาพ

ทีดีอาร์ไอก่อตั้งขึ้นโดยความริเริ่มของสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดย ดร. เสนาะ อูนากูล อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาสถาบันและประธานคณะกรรมการบริหารสถาบัน ประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยคนแรก โดยมี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น และ นายปิแอร์ ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เป็นประธานร่วมในพิธีลงนามในข้อตกลงให้ความช่วยเหลือเพื่อมอบทุนดำเนินการ จัดตั้งสถาบันในระยะเริ่มแรก


ทั้ง นี้ นับตั้งแต่ก่อตั้ง สถาบันได้ดำเนินงานวิจัยไปแล้วมากกว่า 800 โครงการ ในหัวข้อต่างๆ ทั้งระดับประเทศ ทั้งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ โดยมีเป็นหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานต่างประเทศเป็นผู้ว่าจ้างหลัก สถาบันมีฝ่ายการวิจัย 6 ฝ่าย ได้แก่ 1.เศรษฐกิจรายสาขา 2.ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 3.นโยบายเศรษฐกิจส่วนรวม 4.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5.ทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคม 6.การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ภารกิจหลักของทีดีอาร์ไอเพื่อให้ บรรลุพันธกิจดังกล่าว มีดังนี้ 1.ผลิตงานวิจัยเชิงนโยบายที่มีคุณภาพสูง อยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาการและข้อมูลที่ถูกต้อง 2.สร้างข่ายงานการวิจัยระหว่างสถาบันและนักวิชาการที่เกี่ยวข้องในประเด็น วิจัยเชิงนโยบาย ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ 3.เผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายของประเทศ

ปัจจุบัน ทีดีอาร์ไอมี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เป็นประธานสภาสถาบันและประธานคณะกรรมการบริหารสถาบัน และ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร เป็นประธานสถาบัน ส่วนนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของสถาบัน เช่น ดร.อัมมาร สยามวาลา ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เป็นต้น สำหรับผู้สนับสนุนหลักในช่วงก่อตั้งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ประกอบด้วย สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมวิเทศสหการ องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งแคนาดา (CIDA) องค์การเพื่อการพัฒนานานาชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา (USAID) นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนบริจาคเงินสนับสนุนสมทบอีกหลายกลุ่ม

มูลนิธิสถาบัน วิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ตั้งอยู่เลขที่ 565 ซอยรามคำแหง 39 (เทพลีลา) ถนนรามคำแหง แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310 โทรศัพท์ 0-2718-5460 โทรสาร 0-2718-5461-2 เว็บไซต์ http://www.tdri.or.th

วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7300 ข่าวสดรายวัน


ไม้ตะพด


รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com



ไม้ตะพด ทราบว่าเป็นอาวุธ มีความเป็นมาประวัติอย่างไร อยากทราบครับ

สุธี

ตอบ สุธี


พบ คำตอบในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง ของมูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ อาจารย์จุลทัศน์ พยัคฆรานนท์ อรรถาธิบายว่า เมื่อเอ่ยถึง "ไม้ตะพด" คนรุ่นใหม่อาจคิดว่าคือสิ่งเดียวกับ "ไม้เท้า" ที่คนแก่ถือไว้ยันตัวเวลาเดิน ซึ่งโดยแท้จริงแล้วแม้ไม้ทั้งสองจะมีรูปร่างคล้ายกัน แต่ประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์การใช้สอยที่ต่างกันมาก ดังนี้

ใน สมัยโบราณ ไม้ตะพดจัดเป็นเครื่องป้องกันตัวชนิดหนึ่งสำหรับผู้ชายโดยทั่วไป ด้วยสมัยก่อนถือว่าดาบเป็นอาวุธร้ายแรง ชาวบ้านจะถือดาบออกไปนอกบ้านหรือจะพกดาบเปลือยฝักไปในที่สาธารณะโดยไม่มี เหตุผลอันสมควรไม่ได้ เนื่องจากมีพระราชกำหนดห้ามไว้ ยกเว้นพวกทหาร ตำรวจ กรมการเมืองที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย แต่คนเหล่านี้หากถอดดาบออกจากฝักโดยบันดาลโทสะ เมาสุรา หรือไม่มีเหตุผลอันสมควร ต้องได้รับโทษเช่นกัน และด้วยข้อห้ามมิให้พกดาบในที่สาธารณะดังกล่าวนี่เองที่ทำให้ผู้ชายสมัยก่อน เลี่ยงมาใช้ไม้ตะพดเป็นอาวุธแทนดาบ และมักมีไม้ตะพดถือไว้ประจำมือทุกคน โดยนิยมถือเมื่อจะลงจากเรือนไปยังที่ต่างๆ เช่น ไปช่วยงานบวช งานแต่งงาน

ทั้ง นี้ เพราะไม้ตะพดสามารถใช้เป็นสิ่งป้องกันอันตราย มิให้กล้ำกรายมาถึงตัวได้โดยง่าย อย่างเช่น เมื่อต้องเดินทางไปต่างถิ่นยามค่ำคืน ก็ใช้ระพุ่มไม้ให้เกิดเสียงดังเพื่อให้สัตว์ตกใจหนีไปก่อน นอกจากนี้ ผู้ชายชาวบ้านสมัยก่อนยังนิยมถือไม้ตะพดเพื่อแสดงศักดิ์ศรีลูกผู้ชายด้วย

กล่าวคือ หากผู้ใดไม่ถือไม้ตะพดติดมือไปยังต่างถิ่น ผู้คนในถิ่นนั้นๆ จะถือว่าผู้ชายที่มามือเปล่าเหยียบถึงถิ่นตนจะมาลองดี

ไม้ ตะพดที่นิยมใช้กันเมื่อก่อนส่วนมากจะทำมาจากไม้ไผ่ที่เรียกว่า ไม้ไผ่เปร็ง โดยเลือกไม้ที่แก่จัด มีข้อดี เนื้อแน่นตัน เพราะต้องการให้มีน้ำหนัก เมื่อตัดไม้ไผ่มาแล้วจะต้องนำมาตากให้แห้งสนิทจึงค่อยนำมาตัดแต่งลำให้ตรง ด้วยการลนไฟอ่อนๆ จนลำไม้ตรงตามต้องการ แล้วใช้กาบมะพร้าวชุบทรายละเอียดเคล้ากับขี้เถ้าและน้ำ ขัดถูไม้ตะพดจนสะอาดหมดจดและผิวเกลี้ยงเรียบ แล้วล้างด้วยน้ำอีกครั้ง เป็นอันเสร็จการขัดผิวไม้ หรือบางคนอาจจะตกแต่งผิวไม้ให้สวยงามด้วยการทำให้เป็นลวดลายต่างๆ ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น ใช้วิธีเทตะกั่ว นาบด้วยโลหะเผาไฟ หรือย้อมสี เป็นต้น

เนื่องจากคนไทยส่วนมากมีประเพณีนิยมที่จะใช้สอยแต่สิ่งที่ เป็นสิริมงคล โดยมักกำหนดเป็นตัวเลขบ้าง จำนวนบ้าง สัดส่วนบ้าง ซึ่งข้อกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวนี้เรียกกันว่า โฉลก (ตามพจนานุกรม คำนี้หมายถึง โชค โอกาส หรือ ลักษณะที่มีทั้งส่วนดีและไม่ดี มักกำหนดด้วยการดูลักษณะ วัดขนาด หรือนับจำนวนของคน สัตว์ สิ่งของ ว่าเป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคล) ซึ่งในเรื่องไม้ตะพด โบราณก็บัญญัติโฉลกเอาไว้ให้เลือกไม้ตะพดที่เป็นสิริมงคล เช่น โฉลกที่ 1 "กูตีมึง" และ "มึงตีกู" ใช้สำหรับนับข้อบนไม้ตะพด โดยขึ้นต้นที่หัวไม้ข้อแรกว่า กูตีมึง ข้อที่สองว่า มึงตีกู ว่าสลับกันไปจนหมดข้อสุดท้ายที่ปลายไม้ หากตก กูตีมึง จัดเป็นไม้ตะพดดี แต่ถ้าตก มึงตีกู ถือว่าไม่ดี

โฉลกที่ 2 มีคำว่า "คุก ตะราง ขุนนาง เจ้าพระยา" ใช้นับขนาดความยาวของไม้ตะพด โดยกำมือให้รอบส่วนหัวไม้แล้วจึงว่า คุก คำแรก แล้วเอามืออีกข้างกำต่อลงมาพูดคำว่า ตะราง จากนั้นเปลี่ยนมือแรกมากำต่อลงไปเป็นลำดับที่สามแล้วว่า ขุนนาง แล้วเปลี่ยนมือที่กำอันดับสองมากำต่อไปเป็นอันดับ 4 แล้วว่า เจ้าพระยา เอามือกำสลับกันไปเรื่อย พร้อมทั้งท่องทั้งสี่คำสลับกันไปจนสุดปลายไม้ หากตกคำว่า คุกและตะราง ถือเป็นไม้ตะพดไม่ดี หากตกคำว่า ขุนนาง เสมอตัว แต่ถ้าตกคำว่า เจ้าพระยา ถือว่าดีเลิศ

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปความยาวของไม้ตะพดที่ใช้ส่วนมากกำหนดให้ยาวประมาณ 8 กำ กับเศษ 4 นิ้ว หรือประมาณ 1 เมตร ซึ่งเป็นขนาดที่พอเหมาะพอดีกับกำลังมือ
ร้องเพลง

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


วิธีการร้องเพลงที่ถูกต้องฝึกด้วยตัวเองอย่างไร คุณน้ามีคำอธิบายได้ไหม

Paweena

ตอบ Paweena

ได้ความรู้จาก อาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล และ "ครูกบ"เสาวนิตย์ นวพันธ์ เป็นเคล็ดไม่ลับร้องเพลงให้เก่ง ดังนี้

อาจารย์ ดุษฎีมีข้อแนะนำวิธีการฝึกร้องเพลงด้วยตนเองง่ายๆ เป็นขั้นตอน 1.ฝึกการหายใจประกอบการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ขั้นตอนการปฏิบัติ ยืนตรง สองเท้าห่างกันเท่าความกว้างของหัวไหล่ เหยียดแขนที่ประสานกันขึ้นเหนือศีรษะ หงายมือขึ้น พยายามเหยียดแขนขึ้นให้สุด ให้แขนทั้งสองข้างตึง หายใจเข้าช้าๆ อาจนับ 1 2 3 พร้อมกับเขย่งเท้าขึ้นช้าๆ ด้วย กลั้นหายใจไว้ชั่วขณะในสภาพเขย่งเท้า และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ นับ 1 2 3 4 5 6 ช้าๆ พร้อมกับวางมือข้างตัวอย่างช้าๆ ขณะที่วางส้นเท้าลงกับพื้น แบบฝึกหัดนี้ ปฏิบัติทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง



2.ฝึก การเปล่งเสียงประกอบการหายใจ หายใจเข้าช้าๆ สบาย นับ 1 2 3 ช้าๆ ไว้ในใจ ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางจมูก โดยหุบปากเปล่งเสียง "ฮึม" (เหมือนเสียงบ่นพึมพำเวลาคนทำอะไรไม่ถูกใจเรา) หายใจเข้าช้าๆ อีก และจากเสียง ฮึม สั้นๆ เปลี่ยนเป็น ฮึม ยาวๆ พร้อมผ่อนลมหายใจออก นับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ครบแล้วจึงหยุดเสียง ฮึม ปฏิบัติซ้ำวันละไม่ต่ำกว่า 8 ครั้ง

3.ฝึกการร้องให้ถูกต้องตามทำนองและจังหวะ หาเพลงที่ชอบมาฟังหลายๆ เที่ยว ฮัมตามทำนองเพลงให้ถูกทั้งทำนองและจังหวะ ร้องด้วยคำว่า "ลา..." ตามความสูงต่ำของเสียงเพลงตลอดทั้งเพลง

4.ฝึก ท่องจำเนื้อเพลงให้แม่นยำ นำเพลงบทนั้นมาอ่านเนื้อร้องให้คล่อง พยายามออกเสียงพยัญชนะ อักขระ และตัวสะกดต่างๆ ให้ถูกต้องและถูกวรรคตอน เมื่อแน่ใจแล้วก็ลองร้องทั้งเพลง ใส่อารมณ์ความรู้สึกตามเนื้อเพลงนั้นๆ

ส่วน เทคนิคการร้องเพลงของครูกบ-เสาวนิตย์ มีเคล็ดลับที่ 1: เคล็ดลับการดูแลเส้นเสียงให้แข็งแรง ต้องฝึกการใช้เส้นเสียงที่เหมาะสมกับปริมาณลมอย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับการออกกำลังกายทีละนิดทีละหน่อยจนร่างกายคุ้นเคย ฝึกวิธีการใช้เสียงตั้งแต่ตอนพูด ใช้ความกังวานของเสียงช่วยเพิ่มความดังแทนการตะโกน ตะเบ็ง ไม่พูดเสียงสูง-ต่ำเกินความเป็นจริงของธรรมชาติเสียงตัวเองหรือไม่พูดเสียง ที่เป็นลมจนเกินไป

ออกกำลังกายเพื่อช่วยเพิ่มพลังและผ่อนคลายกล้าม เนื้อให้ร่างกายโดยรวม และเพื่อช่วยความแข็งแรงให้ระบบหายใจ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (ร่างกายแต่ละคนต้องการแตกต่างกัน) รับประทานอาหารให้ครบหมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือเกินต่อความต้องการของร่างกายเสมอ หากดื่มน้ำน้อยไป หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน-แอลกอฮอล์มากเกินไป เส้นเสียงจะแห้ง อ่อนแอ ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด ทั้งนี้ การดื่มน้ำเย็นไม่ได้มีผลต่อการใช้เสียงมากจนเกินควร ขณะที่น้ำอุ่น-ร้อนเกินจะทำให้คอแห้งผาก ไม่ดี โดยเฉพาะก่อนใช้เสียง ไม่เสพสารเสพติด เช่น บุหรี่ สารนิโคตินจะทำให้เส้นเสียงอ่อนแอ เวลาใช้งานจะเหนื่อย ต้องออกแรงมากกว่าปกติ หลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่ทำให้รู้สึกไม่สบายคอ หรือหายใจลำบาก เช่น มีความชื้นมากเกินไป ฝุ่นมากไป

เคล็ดลับที่ 2: เคล็ดลับการควบคุมปริมาณลมที่พอดีกับการใช้เส้นเสียง วิธีที่ทำให้สามารถสัมผัสได้มากกว่าการได้ยินเสียงคือ ใช้นิ้ว หรือฝ่ามือ มารองเสียงที่เปล่งออกมาจากปาก พยายามอย่าให้มีลมปนออกมากับเสียงมาก เพราะหากเสียงร้องมีลมออกมากพร้อมกัน แสดงว่าเส้นเสียงไม่ปิดเข้าหากัน หรือมีการใช้ลมมากเกินไป (คือปริมาณลมไม่พอดีกับการปิดของเส้นเสียง ทำให้ใช้เส้นเสียงได้ไม่เต็มที่ เกิดข้อจำกัดในการใช้เสียง โดยเฉพาะการร้องเพลง)
ถึง น้าชาติ

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ชาวจีนเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์นำโชคกันมาช้านานแล้ว แต่ผมยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว มังกรมีที่มาอย่างไร น้าช่วยหาคำตอบให้ด้วยครับ

จาก เล้ง

ตอบ เล้ง

คนถามมีชื่อแปลเป็นไทยได้ว่า มังกร

วันนี้ วันตรุษจีนพอดี หลายๆ ที่มีการเชิดมังกรเพื่อ เป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนเพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดม สมบูรณ์ นำมาซึ่งความสุขและโชคดี

ตามความเชื่อของชาวจีนโบราณกว่า 4 พันปี ว่ากันว่าในบรรดา สัตว์เทพทั้งสี่ที่คุ้มครองน่านฟ้าทั้ง 4 ทิศ คือ กิเลน หงส์ เต่า และมังกรนั้น สัตว์ที่ได้รับการนับถือสูงสุดคือมังกร

วิกิพีเดีย ระบุว่าคนจีนเชื่อว่ามังกรมีลักษณะเด่น 9 อย่าง ได้แก่

หัว คล้ายกับหัวของอูฐ บางตำราก็บอกว่ามาจากหัวม้า หรือหัววัว หรือหัวจระเข้ หนวด คล้ายกับหนวดของมนุษย์เขา คล้ายเขากวาง มังกรจะมีเขาได้ก็ต่อเมื่อมีอายุ 500 ปี และเมื่ออายุถึง 1 พันปีจะมีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ตา คล้ายตากระต่าย บางตำราบอกว่ามาจากตาของมารหรือปีศาจ หรือตาของสิงโต หู คล้ายหูวัว แต่ไม่ได้ยินเสียง บางตำราก็ว่าไม่มีหู บางตำราบอกว่ามังกรได้ยินเสียงทางเขาที่เหมือนเขากวาง คอ คล้ายกับคองู ท้อง คล้ายกับท้องกบ บางตำราบอกว่ามาจากหอยแครงยักษ์ เกล็ด คล้ายกับเกล็ดปลามังกร บางตำราว่ามาจากปลาจำพวกตะเพียนหรือกระโห้ จำนวน 81 เกล็ด ฝ่าเท้า คล้ายกับฝ่าเท้าของเสือ

ลักษณะกรงเล็บของมังกร คล้ายกรงเล็บของเหยี่ยว เฉพาะมังกร 5 เล็บเท่านั้น ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิจีนและองค์ชาย ในลำดับที่ 1 และ 2 ส่วนมังกร 4 เล็บ เป็นมังกรทั่วไป ใช้กับองค์ชายในลำดับที่ 3 และ 4 องค์ชายลำดับที่ 5 เป็นต้นไป รวมถึงข้า ราชการชั้นธรรมดาใช้รูปคล้ายงูที่มี 5 เล็บ แต่บางตำราก็ว่าเป็นมังกร 3 เล็บ

มังกรในตำนานจีน มีโหนกบนหัวทำให้บินได้ แต่ถ้ามังกรจีนตัวใดไม่มีโหนกที่บริเวณหัว จะกำคทาเล็กๆ ซึ่งทำให้มังกรลอยตัวในอากาศได้

สถาน ที่ที่อาจจะพบมังกรได้ คือ แม่น้ำและทะเลสาบ เพราะมังกรชอบอยู่ท่ามกลางสายฝน และเปลี่ยนแปลงขนาดของตัวเองให้มีขนาดใหญ่เท่ากับจักรวาลหรือมีขนาดเล็กเท่า กับหนอนไหมได้

ลักษณะนิสัยของมังกร คือ เมตตากรุณา เป็นมิตร ทะเยอ ทะยาน มองโลกในแง่ดี เฉลียวฉลาด มีปัญญามาก มีความเด็ดขาด และมีพลัง แต่มังกรจีนมีทิฐิในตัว จะถือตัวว่าถูกหมิ่นประมาทเมื่อผู้นำไม่ยอมทำตามคำแนะนำของมังกรจีนหรือ เมื่อผู้คนไม่เคารพไม่ให้ความสำคัญ มังกรจีนจะทำให้ฝนหยุดตก หรือเป่าเมฆดำหรือเมฆฝนทำให้เกิดพายุและน้ำท่วม ส่วนมังกรตัวเล็กก็ทำเรื่องป่วนเล็กๆ น้อยๆ ได้ เช่น ทำหลังคารั่ว หรือทำให้ข้าวเหนียวเหนอะหนะ

ชาวจีนถือว่ามังกรเป็นสัญลักษณ์ของ พลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย อีกทั้งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ และเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้แก่กษัตริย์ใน ราชวงศ์ชิง โดยกษัตริย์จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เดินทางโดยเรือมังกร เสวยอาหารบนโต๊ะมังกรและบรรทมบนเตียงมังกร

แม้มังกรจะมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ แต่มังกรก็มีสิ่งที่หวาดกลัวเช่นกัน ได้แก่ ใบสน ไหม 5 สี ขี้ผึ้ง เหล็ก และตะขาบ

ช.พ.ค.

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


เคยได้ยินคำว่า ช.พ.ค. อยากรู้ว่าเป็นองค์กรเกี่ยวกับอะไรกับครูหรือคะ เป็นอย่างไร

ปวีณา

ตอบ ปวีณา


"ช.พ.ค." ย่อมาจาก การฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ.2494 โดยคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา ซึ่งมี นายเลียง ไชยกาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา เห็นชอบให้จัดตั้งขึ้น มีเจตนารมณ์เพื่อเป็นสวัสดิการช่วยเหลือสงเคราะห์สมาชิกในการจัดการศพให้ เป็นไปอย่างสมเกียรติของผู้ที่เคยเป็นครู รวมทั้งสงเคราะห์ครอบครัวของครูสมาชิก และกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นประกันทางจิตใจให้แก่ผู้ที่เป็นสมาชิก ช.พ.ค. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาของชาติ ได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่ต้องกังวลถึงเหตุการณ์ในอนาคต เมื่อตนถึงแก่กรรม

ในปีแรก มีจำนวนสมาชิกประมาณ 20,000 คน เมื่อสมาชิกถึงแก่กรรม ได้รับเงินค่าจัดการศพรายละ 2,000 บาท และเงินสงเคราะห์ครอบครัวรายละประมาณ 7,700 บาท กิจการ ช.พ.ค. ดำเนินไปได้ด้วยดี เพื่อนครูให้ความสนใจสมัครเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นทุกปี ระยะเวลาผ่านมาถึง พ.ศ.2517 มีสมาชิกประมาณ 140,000 คน

ปีเดียว กัน กฎหมายได้บัญญัติให้มีพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 ขึ้น เพื่อควบคุมการดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ ทั้งส่วนราชการ องค์การของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และสมาชิกต่างๆ ที่ดำเนินการฌาปนกิจสงเคราะห์ทั่วประเทศ คุรุสภา ในฐานะเป็นผู้ก่อตั้ง ช.พ.ค. ได้แก้ไขปรับปรุงระเบียบปฏิบัติให้สอดรับกับพระราชบัญญัติการฌาปนกิจ สงเคราะห์ และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการกำหนดให้มีพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นผลดีต่อกิจการ ช.พ.ค. อย่างมาก เพราะยิ่งเป็นหลักประกันให้กิจการมีความมั่นคง มีระเบียบและวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง ช.พ.ค. ส่งผลให้สมาชิกได้รับประโยชน์ในด้านสวัสดิการอย่างดียิ่ง

กิจการ ช.พ.ค. ดำเนินไปด้วยความเจริญก้าวหน้า กระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้นในความนิยมเชื่อมั่นและศรัทธา วิเคราะห์ได้จากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) ช.พ.ค. ดำเนินงานมาเป็นเวลา 60 ปี มีสมาชิกทั้งสิ้นกว่า 850,000 คน นับเป็นฌาปนกิจที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในประเทศไทย และในโอกาสที่เป็นมงคลต่างๆ สมาชิกได้เรียกร้องให้คุรุสภาเปิดรับสมัครสมาชิกเป็นกรณีพิเศษ โดยในปี พ.ศ.2542 ได้เปิดรับสมัครสมาชิกเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ วันที่ 5 ธันวาคม

ผู้มีสิทธิสมัคร ช.พ.ค. จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษาในสังกัด ดังนี้ 1.กระทรวงศึกษาธิการ 2.องค์การมหาชน หรือองค์กรในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ 3.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กทม., เทศบาล, เมืองพัทยา ฯลฯ) 4.กระทรวงอื่นที่โอนจากกระทรวงศึกษาธิการ ตาม พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 และ 5.สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก ช.พ.ค. ต้องมีคุณสมบัติ อายุไม่เกิน 35 ปีบริบูรณ์ นับถึงวันสมัคร และต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง หรือปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ 1.ครู 2.คณาจารย์ 3.ผู้บริหารสถานศึกษา 4.ผู้บริหารการศึกษา 5.บุคลากรทางการศึกษาอื่น 6.ผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษา หรือ 7.สมาชิกคุรุสภา (สังกัดกระทรวงอื่น อันเนื่องมาจากการโอนตามกฎหมาย และเป็นสมาชิกคุรุสภาก่อนวันที่ 12 มิถุนายน 2546)

สมาชิก ช.พ.ค. มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบ คือ จะต้องชำระเงินค่าสงเคราะห์รายศพให้แก่เพื่อนสมาชิกที่ถึงแก่กรรม ทุกๆ เดือน ในอัตราค่าสงเคราะห์รายศพศพละ 1 บาท ส่วนผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์ครอบครัว ได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรส บุตรชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงบุตรนอกสมรสที่บิดารับรองแล้ว จึงจะมีสิทธิ

ราย ละเอียดเกี่ยวกับ ช.พ.ค. ศึกษาได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) www.otep.go.th
อูคูเลเล่

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

อ่าน ข่าว ดาราหลายคน เช่น หยาดทิพย์ ราชปาล เล่นเครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ ชื่อ อูคูเลเล่ หนูอยากรู้ว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้มีที่มาอย่างไรคะ

จาก พลอย

ตอบ พลอย

อู คูเลเล่ (ukulele) มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกีตาร์ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าและมีเพียง 4 สาย (กีตาร์มี 6 สาย) เครื่องสายตัวจิ๋วพกพาง่าย เล่นไม่เจ็บนิ้วเหมือนกีตาร์ และมี 4 ขนาด คือ โซปรา โน, คอนเสิร์ต, เทเนอร์ และ บาริโทน

วิกิพีเดียบอกที่มาของอู คูเลเล่ ว่าเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดย 3 หนุ่ม มานูเอล นูเนส, โฆเซ่ โด เอสฟิริโต้ และ ออกัสโต ดิอัส ประดิษฐ์ ขึ้นมาจากการผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นเมืองของโปรตุเกสคล้ายกีตาร์ขนาดเล็ก 2 ชนิด คือ "คาเวคินนู" และ "ราเฆา"



ต่อ มา ผู้อพยพชาวโปรตุเกสจากเกาะมาเดียร่าและเคป แวร์เด้ เดินทางไปเกาะฮาวายและนำเครื่องดนตรีชนิดนี้ติดมือไปด้วย จากนั้นมา เครื่องดนตรีดังกล่าวได้รับความนิยมกันทั่วเกาะฮาวาย เพราะกษัตริย์เดวิด คาลากาอัว ของฮาวายชอบเครื่องดนตรีชนิดนี้มาก

ชื่อ "อูคูเลเล่" เป็นภาษาฮาวาย แปลเป็นภาษาอังกฤษคร่าวๆ ได้ว่า "หมัดกระโดด" จากลีลาการเล่นนั่นเองเพราะเวลาคนเล่นอูคูเลเล่ นิ้วบนเฟรตดูเหมือนหมัดกระโดดไปมา

ส่วน "ราชินีลิลิอูโอกาลานิ" ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮาวาย กล่าวว่า "อูคูเลเล่" มาจากคำว่า "อูคู" ซึ่งมีความหมายว่า "ของขวัญ" และ "เลเล่" หมายถึง "การมาถึง" ดังนั้น อูคูเลเล่จึงหมายถึง "ของขวัญที่มาถึงที่นี่"

อูคูเลเล่ยังมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า "อู๊ก" (uke) หรือ "ยูก" ด้วย

ใน สมัยแรกๆ เพลงที่ได้รับความนิยมในการเล่นอูคูเลเล่เป็นเพลงพื้นเมืองของฮาวาย และต่อมานักดนตรีชาวอเมริกัน ชื่อ รอย สเม็ก และ คลิฟฟ์ เอ็ดเวิร์ด นำอูคูเลเล่เข้าไปเผยแพร่ในอเมริกา

ไม่นานนัก อูคูเลเล่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของวงแจ๊ซในอเมริกาและได้รับความนิยมเมื่อ 90 กว่าปีมาแล้ว เมื่อถึงยุคร็อกแอนด์โรล อูคูเลเล่ก็กลายเป็นเครื่องดนตรีที่สร้างสีสันให้กับเสียงเพลงไม่น้อย นักดนตรีดังๆ ในสมัยนั้น เช่น เรกัล ฮาร์โมนี และ มาร์ติน นำอูคูเลเล่มาเล่นกับแบนโจ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาริโอ้ มักคาเฟอริ ผู้ผลิตพลาสติกคิดทำอูคูเลเล่จากพลาสติกขึ้นมาเป็นรายแรกและมียอดขายถึง 9 ล้านชิ้นเพราะราคาไม่แพง กระแสความนิยมอูคูเลเล่ยิ่งดังมากขึ้น เมื่อนำไปใช้ในการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ดิ อาร์เธอร์ก็อดฟรีย์ โชว์ ทางทีวีในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม อูคูเลเล่ถึงขาลงเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาจนถึง 10 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมีผู้ผลิตอูคูเลเล่ขึ้นมาอีกครั้งและดังกว่าเดิม จากการบรรเลงของ อิสราเอล คามาคาวิโวโอเล่ ที่เล่นเพลง โอเวอร์ เดอะ เรนโบว์ และ ว็อต อะ วันเดอร์ฟูล เวิลด์ ซึ่งมีภาพยนตร์หลายเรื่องนำ 2 เพลงนี้ไปใช้จนเป็นที่นิยมกันทั่วไป

ในยุคนี้ เจสัน มราซ นำอูคูเลเล่มาเล่นในเพลง แอม ยัวส์ จนติดหูคนฟังไปทั่วโลก
โคคา-โคลา

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo,com



จอห์น เพ็มเบอร์ตัน
ถึง น้าชาติ

ผมอยากรู้ว่าเครื่องดื่มยอดฮิตอย่างโค้ก หรือ โคคา โคลา มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ

จาก เด็กซ่า

ตอบ เด็กซ่า

วิ กิพีเดียบอกว่า ผู้คิดค้นเครื่องดื่ม โคคา โคลา คือเภสัชกรชื่อ ดร.จอห์น เพ็มเบอร์ตัน ที่เมืองแอตแลนต้า มลรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2429 หรือ 125 ปีที่แล้ว โดยดร.เพ็มเบอร์ตันปรุงหัวเชื้อน้ำหวานในหม้อทองเหลืองสามขาซึ่งตั้งอยู่ใน สนามหญ้าหลังบ้านของเขาได้สำเร็จ และตั้งชื่อว่า "โคคาไวน์ฝรั่งเศสของเพ็มเบอร์ตัน" เพราะได้แรงบันดาลใจจาก "แวง มาริอานี" หรือ ไวน์โคคา ของยุโรป

ในวันเดียวกัน ดร.เพ็มเบอร์ตันนำไวน์ไร้แอลกอฮอล์ไปขายที่ร้านขายยาจาค็อปในเมืองแอตแลนต้า เป็นครั้งแรก ราคา 5 เซ็นต์ โดยรินน้ำดำชนิดนี้ให้คนไข้ดื่ม


สูตรต้นตำรับ


ปรากฏ ว่าได้รับความนิยมเพราะในขณะนั้นชาวบ้านเชื่อว่าน้ำชนิดนี้ดีต่อสุขภาพเพราะ ดร.เพ็มเบอร์ตันอ้างว่ารักษาโรคได้หลายชนิด เช่น รักษาอาการติดมอร์ฟีน อาหารไม่ย่อย อ่อน เพลีย ปวดศีรษะ รวมทั้งเสื่อมสมรรถ ภาพทางเพศ

ดร.เพ็มเบอร์ ตันไม่คิดว่าเครื่องดื่มนี้จะกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตแบบถล่มทลาย เพราะในช่วงปีแรกโคคา-โคลาขายได้ประมาณวันละ 9 แก้ว จึงขายหุ้นให้กับ อาซา เกร็กส์ แคนด์เลอร์ ในปี 2430 ในปีเดียวกันนั้นเองดร.เพ็มเบอร์ตันติดมอร์ฟีนอย่างหนักจึงขายหุ้นให้กับนัก ธุรกิจอื่นๆ อีก 4 คน แต่ต่อมานายแคนด์เลอร์ก็กว้านซื้อหุ้นคืนมาทั้งหมดและเป็นเจ้าของกิจการ โคคา-โคลา เพียงผู้เดียว

ในปี 2435 นายแคนด์เลอร์ก่อตั้งบริษัทที่สอง คือ บริษัท โคคา-โคลา ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการอยู่ถึงทุกวันนี้

โฆษณา ราคา 5 เซนต์


เกร็ด เล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับก้าวแรกของโคคา-โคลาในเว็บไซต์ coke-world.exteen.com บอกว่า ที่มาของชื่อ "Coca-Cola" เกิดจากนายแฟรงก์ เอ็ม. โรบินสัน หุ้นส่วนและสมุหบัญชีของดร.เพ็มเบอร์ตันเสนอความเห็นว่า "ถ้าใช้ตัวอักษร C สองตัว ในโฆษณาเครื่องดื่มชนิดนี้น่าจะเข้าท่าดี" เขาจึงแนะให้ตั้งชื่อเครื่องดื่มนี้ว่า "Coca-Cola" และนายโรบินสันเขียนคำว่าโคคา-โคลาด้วยลายมือของเขาเอง ซึ่งต่อมากลายเป็นเครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก

สำหรับ สูตรต้นตำรับของโคคา-โคลาของแท้เก็บรักษาไว้อย่างดี โดยเพื่อนของดร.เพ็มเบอร์ตันเขียนด้วยลายมือแล้วส่งต่อให้ลูกหลานรุ่นต่อ รุ่นโดยเก็บรักษาไว้ที่ตู้นิรภัยของธนาคารยู.เอส. ซึ่งมีพนักงานบริษัทโคคา-โคลา เพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรที่แท้จริง

แต่ เมื่อเวลาผ่านไป 125 ปีสูตรดังกล่าวได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเว็บไซต์ Thisamericanlife.org นำสูตร โคคา-โคลา ต้นฉบับมาจากหนังสือพิมพ์ แอตแลนต้า เจอร์นัล-คอนสติติวชั่น ฉบับวันที่ 28 ก.พ.2522 มาเผยแพร่ หลังจากสูตรดังกล่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว แต่ไม่ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์สักเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยมีคนรู้

ด้านนาย มาร์ก เพนเดอร์กราสต์ ผู้เขียนประวัติเครื่องดื่ม โคคา-โคลา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ของอังกฤษโดยเชื่อว่าเอกสารชิ้นนี้เป็นของ แท้แน่นอน

nachart@yahoo.com

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7386 ข่าวสดรายวัน


บาริสต้า


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถึง น้าชาติ

ผมชอบกาแฟมาก ต้องกินกาแฟทุกวัน บางวันก็ไปดื่มที่ร้านกาแฟ อยากรู้ว่าคนชงกาแฟที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างครับ

จาก คอฟฟี่ปริ๊นซ์

ตอบ คอฟฟี่ปริ๊นซ์

นับ ตั้งแต่มีเมล็ดกาแฟเกิดขึ้นมาคู่กับโลก หลังจาก "คาลดี" เด็กเลี้ยงแกะชาวเอธิโอเปียค้นพบต้นกาแฟในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ก็มีคนชงกาแฟเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน แต่สำหรับกูรูด้านกาแฟหรือขึ้นชั้นเป็น "บาริสต้า" ได้จะต้อง "มีดี" มากกว่าคนชงกาแฟทั่วไป

บาริสต้า ในภาษาอิตาเลียน หมายถึง บาร์เทนเดอร์ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ทำงานหลังเคาน์เตอร์ เสิร์ฟเครื่องดื่มร้อนและเย็นทั้งชนิดที่เป็นแอลกอฮอล์หรือไม่เข้าแอลกอฮอล์ ไม่ได้หมายถึงคนชงกาแฟโดยเฉพาะ

แต่ "บาริสต้า" มีความหมายแคบลง เมื่อชาวอังกฤษขอยืมคำนี้ไปใช้และหมายถึงคนชงกาแฟ และยังมีคำว่า "บาริสโต้" (Baristo) ในภาษาอังกฤษอีกคำที่หมายถึง คนชงกาแฟที่เป็นผู้ชาย


ชิฮิโร โยโกยามะ บาริสต้าชาวญี่ปุ่นผู้เขียนหนังสือ Barista Book (เส้นทางสู่สุดยอดนักชงกาแฟ) บอกว่าในวัฒนธรรมอิตาลีซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟแห่งแรกในโลก แนะว่า ข้อสำคัญสำหรับบาริสต้า ต้องมี 4 เอ็ม (ในภาษาอิตาเลียน) ได้แก่

Machina คือ เครื่องทำกาแฟ เอสเปรสโซแมชชีน

Miscela คือ การเบลนด์หรือผสมกาแฟพันธุ์ต่างๆ จากแหล่งปลูกต่างๆ กัน

Macinadosatore คือ เครื่องบดกาแฟ

Mano คือ คนทำกาแฟ หรือบาริสต้า

คุณสมบัติที่จำเป็นของการเป็นบาริสต้า คือ

1.รอบรู้เรื่องกาแฟ ตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก สายพันธุ์กาแฟ รสชาติ กลิ่น สี น้ำมันของกาแฟชนิดต่างๆ จนถึงการเลือกเมล็ดที่คั่วและบดให้พอดีกับความละเอียดของเครื่องชง จากนั้น ต้องรู้วิธีการอัดกาแฟเข้าก้านชงกาแฟ หรือ Tamper ที่อัดได้แน่นพอเหมาะ ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป การกะระยะเวลาน้ำกาแฟ อุณหภูมิการชง การทำฟองนม รวมถึงเชี่ยวชาญด้านเครื่องมือต่างๆ ในการชงกาแฟ

บางร้าน บาริสต้าจะคิดค้นเมนูเครื่องดื่มที่เป็นแบบฉบับของร้านเอง (ซิกเนเจอร์ ดริงก์)

2. รักงานด้านบริการและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ที่อิตาลี บาริสต้าต้องเป็นผู้ควบคุมบาร์ทั้งหมด ทั้งต้อนรับลูกค้า พูดคุยกับลูกค้า ดูแลหน้าร้านความสะอาด

บาริสต้าที่ดี จะจำชื่อลูกค้าได้ เครื่องดื่มที่ลูกค้าชอบ บางคนจำไปถึงชื่อลูก และรถที่ลูกค้าขับมา

3. มีทักษะที่คล่องแคล่วในการทำงาน การชงกาแฟอย่างรวดเร็วบ่งบอกถึงความชำนาญในงาน ลูกค้าจะได้ประทับใจและเป็นการฝึกฝีมืออยู่เรื่อยๆ

4. มีไหวพริบปฏิภาณในการสื่อสารกับลูกค้า การรับคำสั่งจากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการแนะนำเมนูให้กับลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเครื่องดื่มชนิดไหนดี อีกทั้ง ต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากลูกค้าได้เครื่องดื่มที่ไม่ตรงตามที่สั่งหรือไม่พอใจรสชาติ

การแข่งขันบาริสต้าโลกจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2543 และจัดอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องเตรียมและเสิร์ฟเครื่องดื่มกาแฟคนละ 12 ชนิด คือ กาแฟเอสเปรสโซ่ 4 ชนิด คาปูชิโน 4 ชนิด และซิกเนเจอร์ ดริงก์ 4 ชนิด (ไม่มีแอลกอฮอล์) เพื่อให้กรรมการ 4 ท่านตัดสิน

ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ

รู้ไปโม้ด
nachart@yahoo.com


อยากทราบความเป็นมาของท้องฟ้าจำลองที่เอกมัย

ฟิจิ

ตอบ ฟิจิ


ท้อง ฟ้าจำลองกรุงเทพ หรือ Bangkok Planetarium ตั้งอยู่ที่ 928 ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 เริ่มก่อ สร้างเมื่อปีพ.ศ.2505 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด "อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาแห่งชาติ" (ท้องฟ้าจำลอง) เมื่อวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2507 จากบัดนั้น ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพจึงเปิดการแสดงให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2507 เป็นต้นมา

ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพเป็นสถาบันการศึกษาแห่ง หนึ่ง สังกัดศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์สำคัญคือ เพื่อสร้างแหล่งที่ดีให้เยาวชนได้ชุมนุมหาความรู้ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริม การศึกษาวิชาดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โดยให้นักเรียนเรียนรู้จากของจำลองซึ่งคล้ายของจริง งบประมาณการก่อสร้างและดำเนินงานขั้นต้นจนสามารถเปิดแสดงได้ในปีพ.ศ.2507 เป็นเงินงบประมาณ 12 ล้านบาท



อาคาร ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ ห้องฉายดาว และส่วนแสดงนิทรรศการรอบห้องฉายดาว โดยห้องฉายดาวเป็นห้องวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20.60 เมตร หลังคาเป็นรูปโดม สูง 13 เมตร เพดานโดมเป็นแผ่นอะลูมิเนียมพรุน ทาสีขาวเพื่อรับแสง ที่ฉายออกจากเครื่องฉายดาวปรากฏเป็นดวงดาวในท้องฟ้าจำลอง คล้ายกับดวงดาวในท้องฟ้าจริง ความจุ 370 ที่นั่ง ตรงกลางห้อง ตั้งเครื่องฉายดาวระบบเลนส์ของ Carl Zeiss ของบริษัท คาร์ล ไซซ์ ประเทศเยอรมนี

เครื่องฉายดาว เป็นประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มีระบบการทำงานซับซ้อน ประกอบด้วยระบบเครื่องกล ระบบไฟฟ้า และระบบแสงที่ประณีต ฉายภาพวัตถุท้องฟ้า และปรากฏการณ์หลายชนิด เลียนแบบธรรมชาติ สามารถปรับเครื่องขึ้นลงเพื่อแสดงดวงดาวในท้องฟ้าของประเทศใดก็ได้ตาม วัน-เวลาที่ต้องการ ทั้งดวงดาวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นเครื่องฉายดาวขนาดใหญ่เครื่องแรกในย่านเอเชียอาคเนย์


และ ต่อไปนี้คือศักยภาพของเครื่องฉายดาวของท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ 1.ฉายดาวฤกษ์ได้ประมาณ 9,000 ดวง ขณะที่ตาเปล่าสามารถมองเห็นดวงดาวในท้องฟ้าได้ราว 2,000 ดวง 2.ฉายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ 5 ดวง และแสดงการเคลื่อนที่ผ่านไปในกลุ่มดาวต่างๆ ได้ชัดเจน 3.ฉายภาพกลุ่มดาวต่างๆ แสดงแนวทางช้างเผือก กระจุกดาว เนบิวลา กาแล็กซีบางแห่ง ดาวแปรแสง ดาวเทียม ดาวหาง ดาวตก เมฆ แสงรุ่งอรุณ แสงสนธยา แสดงการเกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา แสดงเส้นสมมติต่างๆ ในท้องฟ้า เช่น เส้นศูนย์สูตร เส้นสุริยวิถี เส้นเมอริเดียน แสดงขั้วทรงกลมฟ้า และตำแหน่งที่แกนผ่านขั้วโลกจะชี้ไปในรอบ 26,000 ปี แสดงระบบสุริยะ โลกหมุนในอวกาศ ภาพฉายแสดงรอบทิศ แสดงพื้นผิวดวงจันทร์ ดาวอังคาร พื้นผิวขั้วน้ำแข็งของโลก

ทั้งนี้ แต่ละรอบจะใช้เวลาจัดฉายประมาณ 1 ชั่วโมง และรายการแสดงจะผลัดเปลี่ยนไปทุกๆ เดือน

สำหรับ ส่วนแสดงนิทรรศการรอบห้องฉายดาวแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์และอวกาศของไทยและของโลก (ไม่เสีย ค่าชม) ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 โลกดาราศาสตร์ ส่วนที่ 2 ชีวิตสัมพันธ์กับดวงดาวอย่างไร? ส่วนที่ 3 โลก แหล่งกำเนิดชีวิต ส่วนที่ 4 ชีวิตของดาวฤกษ์ ส่วนที่ 5 ความเป็นไปในเอกภพ และส่วนที่ 6 มนุษย์กับการสำรวจอวกาศ รายละเอียดเกี่ยวกับส่วนต่างๆ เข้าดูได้ที่เว็บไซต์ http:// www.bangkokplanetarium.com

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7427 ข่าวสดรายวัน


ตำนานแผ่นดินไหว


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



ถึง น้าชาติ

ถึง น้าชาติ หมู่นี้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อยากรู้ว่าคนโบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับแผ่นดินไหวอย่างไรบ้างคะ

จาก ปุจฉา

ตอบ ปุจฉา

คน แต่ละท้องถิ่นมีความเชื่อเกี่ยวกับแผ่นดินไหวแตกต่างกันไป เพราะในสมัยก่อนคนยังไม่เข้าใจธรรมชาติมากนัก เมื่อเกิดเหตุเภทภัยก็มักจะอ้างเทพยดาฟ้าดิน

ในไทยมีตำนานกล่าวขาน กันว่า "ปลาอานนท์" แห่งมหานทีสีทันดรหนุนโลกอยู่ ปลาอานนท์มีร่างกายใหญ่โตเชื่อว่ายาวราวๆ 8 ล้านเมตร ถ้าเมื่อยขึ้นมาก็จะพลิกตัวทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมา

ส่วนชาวฮินดู ในประเทศอินเดียเชื่อว่าโลกตั้งอยู่บนถาดทองคำซึ่งวางอยู่บนหลังช้างหลาย เชือกติดกัน เมื่อใดที่ช้างเคลื่อนไหว โลกจะสั่นสะเทือนไปด้วย เกิดเป็นแผ่นดินไหว

ชาวโรมันเชื่อว่า "เทพเจ้าวัลแคน" เป็นช่างตีเหล็กให้กับเทพเจ้าองค์อื่นๆ เมื่อใดที่มีควันและเปลวไฟพุ่งออกมาจากภูเขาไฟ ชาวโรมันก็คิดว่าเทพเจ้าวัลแคนกำลังติดไฟในเตาหลอมอยู่ เมื่อแผ่นดินสั่นสะเทือนหมายถึงว่าเทพเจ้าวัลแคนกำลังตีเหล็กหลอมอยู่บนทั่ง นั่นเอง

ขณะที่ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือ "โพไซดอน" เป็นผู้ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เพราะเทพเจ้าโพไซดอนมีรูปร่างใหญ่โต เมื่อพิโรธจะใช้ไม้สามง่ามกระแทกพื้นทำให้เกิดแผ่นดินไหว

ตำนานแผ่น ดินไหวของหลายเชื้อชาติบอกเล่าไว้ในหนังสือ "10 ตำนานสะท้านโลก" โดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ว่าชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อคล้ายกับไทย โดยเชื่อว่าปลาดุกยักษ์หนุนเกาะญี่ปุ่น เทพเจ้าไดเมียว จินจะคอยควบคุมปลาดุกยักษ์ไว้โดยใช้ก้อนหินขนาดใหญ่กดทับไว้ แต่ถ้าเทพเจ้าไดเมียวจินเผลอ ปลาดุกยักษ์จะขยับตัวและเกิดแผ่นดินไหว

ที่ แอฟริกาตะวันออก มีความเชื่อเกี่ยวกับปลายักษ์แบกโลกเหมือนกัน ปลาตัวนี้แบกหินไว้บนหลัง บนหินก็มีวัวยืนอยู่ เจ้าวัวจะหมุนโลกด้วยเขาของมันทีละข้าง ถ้าเมื่อยคอเมื่อไหร่ก็จะเปลี่ยนเขาที่หมุนโลกเป็นอีกข้างหนึ่ง แผ่นดินไหวก็เกิดในช่วงที่โลกเปลี่ยนตำแหน่ง

แต่ชาวแอฟริกาตะวันตก เชื่อว่าโลกเป็นแผ่นกลมแบน ด้านหนึ่งวางอยู่บนภูเขา อีกด้านหนึ่งมียักษ์แบกอยู่ โดยมีภรรยายักษ์แบกท้องฟ้าไว้ เมื่อใดที่ยักษ์หยุดแบกโลกเพื่อไปกอดภรรยาก็ทำให้แผ่นดินไหว

ชาว เม็กซิโกว่ากันว่าปีศาจชื่อ เอล ดิอาโบล ทำให้โลกเกิดรอยแยกขนาดใหญ่จากภายใน เพื่อที่ปีศาจและเพื่อนของมันจะอาศัยรอยแยกนี้ออกมาก่อกวน

ชาว โคลัมเบียเล่าต่อกันมาว่า โลกถูกวางไว้บนท่อนไม้ขนาดใหญ่สามท่อน แต่ เทพเจ้าชิบชาคุม อยากเห็นน้ำท่วมที่ราบโบโกตาจึงทำให้เกิดน้ำท่วม เทพชิบชาคุมจึงถูกลงโทษให้แบกโลกเอาไว้ แต่ถ้าพิโรธก็จะกระทืบเท้าเป็นเหตุให้แผ่นดินไหว

สำหรับเทพปรณัมของ นอร์ส เล่าว่าเทพอสูรโลคีถูกลงโทษเพราะทำให้บาลเดอร์หรือเทพแห่งความดีงามสิ้นพระ ชนม์ โลคีจึงถูกมัดไว้กับก้อนหินในถ้ำโดยมีอสรพิษอยู่เหนือศีรษะและปล่อยพิษหยดลง มา ไซจิน ผู้เป็นภรรยาจะคอยใช้ถ้วยรองรับพิษเอาไว้ แต่เมื่อเธอนำถ้วยพิษไปทิ้ง พิษงูจะหยดลงมาที่หน้าของโลคีทำให้โลคีดิ้นและส่ายศีรษะอย่างรุนแรงทำให้ เกิดแผ่นดินไหว

สึนามิถล่มแอตแลนติส

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

ผมสงสัยว่าตำนานเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติสถูกสึนามิถล่มเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน และแอตแลนติสอยู่ตรงไหนของโลกกันแน่ครับ

จาก คนอยากรู้

ตอบ คนอยากรู้

หนังสือ "10 ตำนานสะท้านโลก" โดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ กล่าวว่า ตำนานแอตแลน ติสมาจากบทสนทนา "ตีเมอุส" ของเพลโตที่บันทึกไว้เมื่อ 360 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งกล่าวถึงกรุงเอเธนส์ว่าทำศึกชนะมหาอาณาจักรแอตแลนติสได้ ต่อมาอาณาจักรแอตแลนติสถูกเทพเจ้าลงโทษ บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวและอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้อาณาจักรแอตแลนติสจมหายไปในมหาสมุทรในวันและคืนเดียว

เพลโต เชื่อว่านครแอตแลนติสอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก มีคูน้ำรูปวงแหวนโอบล้อมถึงสามชั้น สลับคั่นด้วยแถบพื้นดินที่มีกำแพงเป็นปรา การตั้งเป็นแนวรอบ โดยมีวิหารเทพแห่งโพไซดอนเป็นศูนย์ กลาง อาณาจักรนี้มีอารย ธรรมในยุคสำริดที่เจริญถึงขีดสุดเมื่อ 9,500 ปีก่อนคริสตกาล แต่ความจริงแล้วในยุค 9,500 ปีก่อนคริสตกาล นั้น มนุษย์ยังอยู่ในยุคหินอยู่เลย!



ต่อ มา เอ็ดการ์ เคย์ซี (มีชีวิตเมื่อร้อยกว่าปีก่อน) นำแนวคิดของเพลโตไปต่อยอด โดยเขาเชื่อว่าแอตแลนติสมีอารยธรรมสูงส่ง มีเรือสินค้า อากาศยาน และระบุว่าแอตแลนติสเป็นทวีปขนาดใหญ่อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและ ทวีปอเมริกากลาง ครอบคลุมพื้นที่ยุโรปบางส่วน

แอตแลนติสประสบอุทกภัย ครั้งใหญ่หลายครั้ง และครั้งสุดท้ายเมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล และทำนายว่าจะมีการค้นพบบางส่วนของแอตแลนติสในปี 2511-2512 และเมื่อมีการค้นพบแผ่นหินปูนเรียงต่อกันเป็นทางยาวนอกชายฝั่งบิมินีใน พ.ศ.2511 จึงมีคนเชื่อกันว่านี่คือซากของแอตแลนติส แต่นักธรณีวิทยาพบว่าหินปูนเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีอายุ 1,200-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช

ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ก่อน ศ.ริชาร์ด ฟรอยด์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์ตฟอร์ด รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐ อ้างว่า "ค้นพบแอตแลนติส" โดยเผยแพร่ในสารคดีของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ว่าจากการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ศึกษา ทั้งเรดาร์สำรวจพื้นผิวระดับลึก เทคนิคการสร้างภาพดิจิตอลและภาพถ่ายดาว เทียม ในที่สุดก็พบเสาหินและเมืองเก่าที่เชื่อว่าชาวแอตแลนติสที่รอดชีวิตจากสึนา มิมาสร้างเมืองใหม่แถบตอนกลางของประเทศสเปน พร้อมระบุว่าแอตแลนติสที่ค้นพบนี้อยู่ในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำในอุทยานแห่ง ชาติโดนานญา ทางเหนือของเมืองกาดิช ประเทศสเปน

อย่างไรก็ตาม นายฆวน โรเบลส ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาของรัฐบาลสเปน แย้งว่าข้อมูลของศ.ฟรอยด์ยังไม่น่าเชื่อถือ และ ดูเหมือนจงใจนำไปเชื่อมโยงกับตำนานทวีปแอตแลนติสมากเกินไป และยังไม่มีข้อสรุปว่าภาพถ่ายจากดาวเทียมที่อ้างว่าเป็นซากเมืองโบราณของแอ ตแลนติสเป็นทวีปแอตแลนติสที่สาบสูญไปจริงหรือไม่

แอตแลนติสจึงยังเป็นปริศนาต่อไป

วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7420 ข่าวสดรายวัน


สัญญาณ SOS


คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com




เรือไททานิกกำลังล่ม
ถึง น้าชาติ

ดูข่าวสึนามิที่ญี่ปุ่น เห็นคนเขียนอักษร เอสโอเอส (SOS) ขอความช่วยเหลือด้วย ผมอยากรู้ว่า จริงๆ แล้ว SOS ย่อมาจากคำว่าอะไรครับ

จาก Daichi

ตอบ Daichi


ความ เข้าใจโดยทั่วไปมีการตีความสัญญาณขอความช่วยเหลือ (เอสโอเอส) SOS หมายถึง Save Our Souls (ช่วยชีวิตพวกเราด้วย) Save Our Ship (ช่วยเรือของเราด้วย) Stop Other Signals (หยุดสัญญาณอื่นๆ ทั้งหมด) Sure Of Sinking (จมแน่แล้ว) หรือ Send Out Succour (ส่งความช่วยเหลือ)

ส่วนพจนานุกรม ไทย-อังกฤษ หลายเล่มบัญญัติความหมายของเอสโอเอส ว่าหมายถึง สัญ ญาณขอความช่วยเหลือเมื่อมีภยันตรายเกิดขึ้น (กับเรือหรือเครื่องบิน), สัญญาณขอความช่วยเหลือ, การขอความช่วยเหลือ

ไม่ว่าจะตีความหมายของเอสโอเอสว่าอย่างไร แต่ความหมายโดยรวมคือ "ขอความช่วยเหลือ"

ซ้าย-สัญญาน SOSในเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น

ขวา-กดรหัสมอร์สส่งสัญญาณ


ใน เว็บไซต์ Boatsafe.com ระบุว่า กูกลิเอลโม มาร์โคนี ใช้รหัสขอความช่วยเหลือผ่าน สัญญาณวิทยุในปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อเรือของเขาห่างจากฝั่งไปไกลและห่างจากเรือลำอื่นๆ เขาจึงส่งสัญญาณโดยใช้ "รหัสมอร์ส" ส่งข้อความ "CQD" เพื่อขอความช่วยเหลือ แปลว่า "Come Quick danger" หรือ "รีบมาด่วน อันตราย"

สำหรับรหัส มอร์สนั้น คิดค้นโดย ซามูเอล มอร์ส ในปี 2380 เป็นรหัสสัญญาณสั้น-ยาวใช้แทนตัวอักษรในการส่งข้อความหากัน โดยใช้ขีด ( _ ) แทนเสียงยาว และจุด ( . ) แทนเสียงสั้น แต่ละอักษรประกอบด้วยขีดและจุดแตกต่างกันไป

ในปี 2448 รัฐบาลเยอรมนีพัฒนาข้อบังคับในการส่งสัญญาณวิทยุขึ้นมาเวลาเกิดเหตุด่วนเหตุ ร้าย โดยใช้สัญญาณ SOS ประกอบด้วยจุด 3 จุด ขีดยาว 3 ขีด และจุด 3 จุด แทนเสียงสั้นยาว คือ . . . _ _ _ . . . (ตึด ตึด ตึด ตืด ตืด ตืด ตึด ตึด ตึด) โดยสั้น 3 ครั้ง ( . . . ) เป็นรหัสมอร์สของตัว S และยาว 3 ครั้ง ( _ _ _ ) เป็นรหัสมอร์สของตัว O และมีการเสนอให้ใช้สัญญาณ SOS ในการประชุมการส่งสัญญาณวิทยุนานาชาติ ครั้งที่ 2 โดยมีผลบังคับใช้ในปี 2451 จากนั้นมาสัญญาณดังกล่าวก็เป็นที่นิยมใช้กันทั่วโลกเพราะเข้าใจง่าย จำได้ง่ายและมีความผิดพลาดน้อยที่สุด

สหรัฐมีการใช้รหัสเอสโอเอส ครั้งแรกในปี 2452 ผู้ส่งสัญญาณชื่อ ที.ดี. ฮับเนอร์ แห่งเรือ เอสเอส อาราพาโฮ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเมื่อใบจักรหลุดหายในบริเวณหินโสโครกเดียมอนต์ หรือรู้จักกันในชื่อ "หลุมศพแห่งแอตแลนติก" ซึ่งศูนย์สื่อสารฮัตเตอร์รับสัญญาณนี้ได้และช่วยเหลือได้ทันท่วงที

อีก ไม่กี่เดือนต่อมา เรืออาราพาโฮได้รับสัญญาณ SOS จากเรืออิโร คอยส์ ลูกเรือเอสเอส อาราพาโฮ จึงเข้าช่วยเหลือ จึงถือว่าฮับเนอร์เป็น ผู้ส่งสัญญาณ SOS คนแรกและเป็นผู้รับสัญญาณคนที่สอง

เหตุการณ์ที่คน ทั่วโลกยังจำกันได้ดี คือกลางดึกคืนวันที่ 14 เม.ย.2455 เรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งทำให้เรือรั่ว น้ำทะลักเข้าเรืออย่างรวดเร็ว กัปตันสมิธ โธมัส แอนดรูว์ส คาดการณ์ว่าเรือคงจะทนอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมง จึงอพยพผู้โดยสารลงเรือบดสำรองซึ่งมีเพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 1,000 คน แต่ผู้โดยสารทั้งหมดมีกว่า 2,000 คน

เมื่อเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน เข้าวันที่ 15 เม.ย. กัปตันจึงตัดสินใจส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือโดยการยิงพลุและส่งสัญญาณ SOS แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เรือไททานิกจมลงก้นทะเลพร้อมกับผู้โดยสารกว่า 1,500 คน รวมทั้งกัปตันด้วย

วันน้ำโลก

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

อยากทราบความเป็นมาของวันน้ำโลก วันที่ 22 มี.ค.นี้ค่ะ

จาก อาโป

ตอบ อาโป

สมัชชา สหประชาชาติ ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันน้ำโลก" (World Water day) เป็นผลมาจากการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมสหประชาชาติปี 2535 ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (ยูเอ็นซีอีดี) ที่นครริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล เนื่องจากน้ำจืดในโลกขาดแคลนมากขึ้นทุกปี และมีผู้คาดการณ์ไว้ว่าเมื่อถึงปี 2568 หรืออีก 14 ปี พื้นที่ 1 ใน 3 ของโลกที่กันดารขาดแคลนน้ำอยู่แล้วจะขยายตัวเป็นสองในสามของโลก

"วันน้ำโลก" ครั้งแรก เกิดขึ้นในปี 2536 และใช้คำขวัญต่างๆ กันในแต่ละปี

ปี 2554 มีคำขวัญว่า "น้ำสำหรับเมือง : การตอบสนองต่อความท้าทายในเขตเมือง"


หลาย ประเทศในโลกตื่นตัวในเรื่องการอนุรักษ์น้ำ การช่วยกันดูแล บำรุงรักษา การพัฒนาแหล่งน้ำ และจัดการทรัพยากรน้ำจืดอย่างยั่งยืนสำหรับอนาคต ตลอดจนดำเนินการตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมสหประชาชาติปี 2535 ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา หรือที่เรียกกันว่า Agenda 21

หน่วย งานของสหประ ชาชาติ (ยูเอ็น) 2 แห่ง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องน้ำโดย ตรง คือองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒน ธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กับคณะกรรมา ธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสเคป) ระบุว่าพื้นผิวโลก 2 ใน 3 ปกคลุมด้วยน้ำแต่เป็น "น้ำเค็ม" จากทะเลและมหาสมุทรทั้งหมด

ส่วน "น้ำจืด" ครอบ คลุมเพียงร้อยละ 1 ของผิวโลกเท่านั้น แต่ "แหล่งน้ำจืด" ส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.2 เป็นน้ำแข็งและหิมะบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้และธารน้ำแข็ง หรือซึมอยู่ใต้ผิวดินลึก จนมนุษย์ไม่สามารถนำมาใช้ได้ น้ำจืดที่เหลือยังเป็นน้ำใต้ดินร้อยละ 12 และเป็นน้ำผิวดินร้อยละ 0.8

ส่วนแหล่งน้ำจืดที่ใช้ได้จริงๆ มีเพียงร้อยละ 0.25 เท่านั้น

แหล่งน้ำจืดเพียงน้อยนิดนี้เองที่เป็นตัวหล่อเลี้ยงชีวิตประชากรโลกกว่า 6 พันล้านคน และแหล่งน้ำจืดก็กระจายอยู่อย่างไม่เท่าเทียมกัน

ยู เอ็นประเมินว่าในแต่ละวันมนุษย์ต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 2-5 ลิตร ใช้ชักโครกโถส้วม 5-15 ลิตร ใช้อาบน้ำ 50-200 ลิตร ขณะที่ใช้น้ำเพื่อการชลประทานและการเกษตรราวร้อยละ 70 ของน้ำทั้งหมด แต่ครึ่งหนึ่งต้องสูญเปล่าเพราะซึมลงไปในดินหรือไม่ก็ระเหยขึ้นสู่อากาศหมด

กรุงเทพ มหานคร ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่เมืองที่ใช้ทรัพยากรน้ำมากที่สุดในโลก เฉลี่ยแล้วใช้น้ำราว 265 ลิตรต่อคนต่อวัน ขณะที่ชาวฮ่องกงใช้น้ำเปลืองน้อยที่สุดในโลก เพียง 112 ลิตรต่อคนต่อวัน

พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของทรัพยากรน้ำว่า "น้ำคือชีวิต" และพระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเกี่ยวกับการอนุรักษ์ พัฒนา และบริการจัดการทรัพยากรน้ำมาโดยตลอด

ปี 2539 ตรงกับมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี คณะรัฐมนตรีเทิดพระเกียรติคุณในฐานะที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการพัฒนา ทรัพยากรน้ำ โดยถวายสมัญญา "พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ำ" และคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2551 ให้สัปดาห์ที่ตรงกับวันที่ 22 มี.ค.ของทุกปีเป็นสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ดินสอพอง

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ 5 เทศกาลสง กรานต์ มีหนุ่มๆ สาวๆ ทาหน้าประแป้งด้วยดินสอพองลายพร้อย อยากรู้จักดิน สอพอง น้าช่วยหาข้อมูลให้ด้วยค่ะ

จาก แอ๊ฟ

ตอบ แอ๊ฟ

แฮ่ม ขอแซวก่อนว่า ชื่ออย่างกับนางเอกช่อง 3 เลยนิ

คำ ตอบของเรื่องนี้อยู่ในพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2544 นิยามดินสอพอง ว่า เป็นหินปูนเนื้อมาร์ล (marly limestone) คือ ดินที่เนื้อเป็นสารประกอบแคลเซียมคาร์บอ เนตเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเอา มะนาวบีบใส่ เมื่อกรดในน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับแคล เซียมคาร์บอเนตเกิดเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นฟองฟูขึ้น ดูเผินๆ ก็เห็นว่าดินนั้นพองตัว จึงเรียกกันว่า ดินสอพอง

ด้านกลุ่มงาน ข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดลพบุรี มีข้อมูลตำนานดินสอพอง ของจ.ลพ บุรี ว่าเมื่อครั้งที่พระรามปราบทศกัณฐ์ได้สำเร็จ พระ องค์จึงปูนบำเหน็จให้กับหนุมานโดยการแผลงศรออกไป ถ้าศรตกลงที่ใดบริเวณ นั้นก็จะเป็นของหนุมาน ศรของพระรามเป็นศรศักดิ์สิทธิ์ เมื่อแผลงมาตกที่ทุ่งพรหมมาสตร์ (หมายถึง จังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน) ก็ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ หนุมานจึงใช้หางกวาดเปลวไฟให้ดับ ดินบริเวณที่ถูกไฟจึงสุกกลายเป็นสีขาวและเถ้าดินที่ถูกหางหนุมานกวาดออกไปก็ กลายเป็นภูเขาล้อมรอบจังหวัดลพบุรีนั่นเอง

แหล่งผลิตดินสอพองที่ ใหญ่และมีคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่จังหวัดลพบุรี บริเวณหมู่บ้านหินสองก้อน บ้านท่ากระยางและบ้านสะพานอิฐ ในเขตตำบลทะเลชุบศร ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร

สมัยโบราณใช้ทำแป้งประร่างกายเพื่อให้เย็นสบาย เมื่อผสมน้ำหอมเข้าไปด้วยกลายเป็นแป้งกระแจะ ปัจจุบันนี้ใช้มากในการแก้ดินเปรี้ยว ผสมทำธูป ทำปูนซีเมนต์ เพราะเสียค่าขุดและค่าบดต่ำกว่าใช้หินปูนซึ่งมีเนื้อเป็นสารประกอบชนิดเดียว กัน

ดินสอพองยังนำมาใช้เป็นผงขัดเฟอร์นิเจอร์และเครื่องโลหะต่างๆ และใช้เป็นส่วนผสมในการทำยาสีฟันและสบู่ฟอกตัวช่วยให้ขจัดผดผื่นคัน

เวลาที่มีรอยปูดหรือบวมตามร่างกาย ให้นำดินสอพองผสมน้ำมะนาวทาตรงรอยบวมหรือปูด ส่วนที่บวมโนก็จะยุบ

สำหรับ สาวๆ มักนำดินสอพองมาใช้เป็นเครื่องประทินผิวหรือนำดินสอพองมาผสมน้ำหอมแล้วหยอด เป็นเม็ดเล็กๆ จากนั้นนำไปอบด้วยดอกไม้ไทยนานาชนิดก็จะได้เป็น "แป้งร่ำ" หรือนำดินสอพองทำเป็น "แป้งฝุ่นผัดหน้า" ได้ด้วย โดยนำดินสอพองมาทำให้แห้งสนิทและเติมสารเคมี เช่น พิมเสน การบูร แต่งสีและกลิ่นหอม เมื่อผ่านกรรมวิธีทำให้สารต่างๆรวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันก็จะได้แป้งฝุ่น

สูตรสวยด้วยดินสอพองสำหรับสาวๆ ผิวหน้ามัน รูขุมขนกว้างและมีสิวเสี้ยนไว้พอกหน้า โดยใช้ "ดินสอพองสะตุ" คือ การนำดินสอพองใส่หม้อดิน ปิดฝาหม้อแล้วยกขึ้นตั้งไฟ ทิ้งไว้จนกว่าดินสอพองจะร้อนระอุเต็มที่แล้วจึงยกลง ทิ้งไว้ให้เย็นจากนั้นก็นำมาใช้ได้ จากนั้น นำดินสอพองสะตุ 3-4 เม็ด มาผสมน้ำมะนาวหรือน้ำมะขามเปียก 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน ดินสอพองจะพองตัวขึ้นและมีฟองอากาศ จากนั้นทาครีมดินสอพองจนทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15-20 นาที หรือจะทาก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้าก็ได้ แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าเช็ดเบาๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน จากนั้นล้างอีกครั้งด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ผิวหน้าจะเนียนนุ่มขึ้น รูขุมขนกระชับ และความมันลดลง

นาวิกโยธิน

รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น


ขอทราบว่าใน นาวิกโยธินมีฝ่ายต่างๆทำ งานสอดรับปฏิบัติการรบได้สมบูรณ์แบบ

รั้วของชาติ (อนาคต)

ตอบ รั้วฯ


เข้า ใจว่าหมายถึงนาวิกโยธินไทยละนะ นาวิกโยธินไทยมีประวัติมานับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ที่ยังไม่มีคำว่านาวิกโยธิน แต่เรียกว่า "ทหารมะรีน" ทับศัพท์ Marine ในภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ ทหารมะรีนตามความหมายของต่างประเทศหมายถึงเหล่าทหารเรือที่ปฏิบัติหน้าที่รบ อย่างทหารบก โดยประจำในเรือรบ ประจำตามป้อมค่ายของทหารเรือและตามฐานทัพเรือทั้งในและนอกประเทศ โดยที่ประจำในเรือรบสมัยเรือใบมีหน้าที่ยิงปืนใหญ่ และเมื่อเรือเข้าเทียบกันก็ขึ้นตะลุมบอนรบกันด้วยอาวุธสั้น ครั้นถึงสมัยเรือกลไฟก็ได้ใช้ทหารมะรีนลงประจำในเรือรบขนาดใหญ่ มีหน้าที่ประจำปืนใหญ่ และจัดเป็นกำลังสำหรับยกพลขึ้นบกเพื่อปฏิบัติการรบบนบกตามภาระหน้าที่ของ เรือนั้นๆ

สมัยรัชกาลที่ 5 ได้แบ่งแยกกำลังรบทางเรือออกจากทางบก โดยทหารเรือในสมัยนั้นมีอยู่ 2 แห่ง คือ ทหารเรือวังหน้า ในบังคับบัญชาของเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) และที่สมุหพระกลาโหม นอกจากนั้นยังมีกรมเรือกลไฟของทั้งวังหน้าและสมุหกลาโหม ต่อมาเมื่อเรือกลไฟเพิ่มมากขึ้นจึงเรียกชื่อกรมว่า กรมอรสุมพล ครั้น พ.ศ. 2428 กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เสด็จทิวงคต ทหารฝ่ายพระองค์ ได้ถูกยุบเลิก ทำให้ทหารเรือขณะนั้นมี 2 ส่วนใหญ่ คือกรมเรือพระที่ นั่งขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ส่วนกรมอรสุมพลขึ้นตรงกับสมุหพระกลาโหม มีกองเรือรบและเรือพระที่นั่งกลไฟและมีกองทหารบกสำหรับเรือรบ เรียกว่าทหารมะรีน



สมัย รัชกาลที่ 6กระทรวงทหารเรือได้ร่างข้อบังคับว่าด้วยการจำแนกพรรค เหล่า จำพวกและประเภทของทหารเรือขึ้น เมื่อวันที่1 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 คือทหารเรือพลรบ แบ่งเป็น 3 พรรค คือ พรรคนาวิน (ทหารประจำปากเรือ) พรรคกะลิน (ทหารประจำท้องเรือ) พรรคนาวิกะโยธิน (ทหารเรือฝ่ายบก) คำว่า "ทหารนาวิกะโยธิน" จึงเกิดขึ้นในกองทัพเรือ พร้อมคำว่า "นาวิน"และ"กะลิน" แต่ในปี 2476 ได้มีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการแต่งเครื่องแบบทหารเรือ ตลอดจนแก้ไขข้อบังคับว่าด้วยการจำแนกพรรค เหล่า จำพวก และประเภททหารเรือขึ้นใหม่ โดยส่วนใหญ่เนื้อหาสาระคงรูปเดิม เพียงแต่ สระอะ ในคำว่า กะลิน และ นาวิกะโยธิน หายไป

สรุปความเป็นมาของทหารนาวิก โยธินไทยแบ่งได้ เป็น 3 ยุค คือ 1.ยุคเริ่มต้น (พ.ศ. 2376-2475) 2.ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2476-2498) 3.ยุคใหม่(พ.ศ.2489- ปัจจุบัน) สำหรับยุคใหม่ วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2498 กองทัพเรือได้สถาปนากรมนาวิกโยธินขึ้นอีกครั้งในรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยใช้ตึกของกองกิจการพิเศษที่ฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นที่ตั้ง และทหารนาวิกโยธินได้ถือเอาวันที่ 30 กรกฎาคม เป็นวันสถาปนาหน่วยสืบมา จนถึงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2532 มีการปรับปรุงโครงสร้างการจัดหน่วยราชการของกองทัพเรือ เป็นผลให้กรมนาวิกโยธินแปรสภาพเป็นหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

ปัจจุบัน ทหารนาวิกโยธินได้ถือเอาวันที่ 28 มิถุนายนของทุกปีเป็น "วันทหารนาวิกโยธิน" จากที่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราช ทานเพลงพระราชนิพนธ์ "มาร์ชราชนาวิกโยธิน" เป็นเพลงประจำหน่วย และต่อมาคณะนายทหารนาวิกโยธินได้ร่วมกันประพันธ์คำร้อง

โดยทั่วไป ทหารนาวิกโยธินมีหน้าที่หลักในการยกพลขึ้นบกเพื่อยึดหัวหาด หรือการสถาปนากองกำลังบนบก เป็นหน่วยแรกที่เผชิญกับการต่อต้านของฝ่ายตรงข้ามที่ป้องกันชายหาด มีการสูญเสียกำลังพลสูง เมื่อสถาปนากองกำลังได้แล้ว ทหารบกจะเคลื่อนพลขึ้นรับหน้าที่รบหลัก แต่ปัจจุบันนาวิกโยธินได้ถูกใช้เป็นกำลังรบหลักบนบกด้วย มีการฝึกหลักสูตรรบพิเศษลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก หรือ RECON ทำให้นาวิกโยธินถือได้ว่าเป็นหนึ่งในกำลังรบหลักที่สำคัญของกองทัพ
โรงแรมแพงที่สุดในโลก

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com


ถึง น้าชาติ

ผมอยากรู้ว่าโรงแรมที่แพงที่สุดในโลกขณะนี้มีโรงแรมอะไรบ้างและราคาค่าห้องเท่าไหร่ครับ

จาก Best Butler

ตอบ Best Butler

เว็บไซต์ mostexpensivehotel.org จัดอันดับโรงแรมที่แพงที่สุดในโลก 10 อันดับ ประจำปี 2554 ได้แก่

อันดับ 1 ห้องรอยัล เพนต์เฮาส์ โรงแรมเพรสิเดนท์ วิลสัน กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ราคาคืนละ 1.59 ล้านบาท ครอบ คลุมชั้นบนสุดของโรงแรมทั้งชั้น พร้อมลิฟต์ส่วนตัว มี 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ พื้นห้องน้ำปูด้วยหินอ่อน ค็อกเทลเลานจ์ มองเห็นวิวทั้งทะเลสาบเจนีวาและเทือกเขามองบลังก์

อันดับ 2 ห้องฮิวจ์ เฮิฟเนอร์ สกาย วิลล่า โรงแรมปาล์มส์ กาสิโน รีสอร์ต เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา คืนละ 1.2 ล้านบาท โดดเด่นด้วยกำแพงกระจกจากุซซี่ มี 3 ห้องนอน ลิฟต์แก้ว เตียงหมุนได้ใต้เพดานกระจกสีแดง พร้อมบริกรตลอด 24 ชั่วโมง ห้องนวดและสปา ห้องทำงาน

อันดับ 3 ห้องทาย วอร์น เนอร์ เพนต์เฮาส์ โรงแรมโฟร์ ซีซั่น นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา คืนละ 1.02 ล้านบาท ชั้นที่ 52 ของโรงแรมที่สูงที่สุดในนิวยอร์ก ประดับผนังด้วยเปลือกหอย "mother-of-pear" หลายพันชิ้น มีแกรนด์เปียโนในห้องสมุด พร้อมห้องสปาและมีบริกรตลอด 24 ชั่วโมง

อันดับ 4 ห้องบริดจ์ สวีต โรงแรมดิ แอตแลนติส ประเทศบาฮามาส คืนละ 7.5 แสนบาท ห้องสวีตขนาด 10 ห้อง ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองอาคารเสมือนสะพาน บนชั้นที่ 23 ของโรงแรม ปูพื้นด้วยหินอ่อน แกรนด์เปียโน โคมไฟระย้าที่ทำจากทอง 22 กะรัต ห้องพักนี้ มีเซเลบฯ รวมทั้ง ไมเคิล แจ๊กสัน ที่เคยมาพักประจำ

อันดับ 5 ห้องเดอะ เพนต์เฮาส์ สวีต โรงแรมเดอะ มาร์ติเนซ เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส คืนละ 5.55 แสนบาท ทาด้วยสีน้ำตาลและครีม ตกแต่งห้องสไตล์อาร์ตเดคอร์ และเฟอร์นิเจอร์หรูหรา พร้อมผ้าม่านไหมและพื้นปาร์เกต์

อันดับ 6 ห้องริตซ์-คาร์ลตัน โรงแรมริตซ์-คาร์ลตัน กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ราคา 5.46 แสนบาท สิ่งที่ทำให้ห้องนี้แพงสุดๆ คือ วิวที่มองเห็นทั้งพระราชวังเครมลิน จัตุรัสแดง มหาวิหารเซนต์บาซิล มหาวิหารพระคริสต์ผู้ช่วยชีวิต ห้องตกแต่งแบบจักรวรรดิรัสเซีย โดยเฉพาะมีห้องนิรภัยสำหรับหลบหนีการโจมตีของผู้ก่อการร้าย นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ เคยพักมาแล้ว

อันดับ 7 ห้องรอยัล สวีต โรงแรมเบิร์จ อัล อาหรับ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คืนละ 5.4 แสนบาท บันไดในห้องทำจากหินอ่อนและทองคำ พรมลายเสือดาว ลิฟต์ส่วนตัว และเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่บนแท่นที่หมุนได้ พร้อมห้องดูภาพยนตร์ส่วนตัว

อันดับ 8 ห้องรอยัล อาร์มเลเดอร์ โรงแรม เลอ ริชมอนด์ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ราคา 5.25 แสนบาท มีห้องสวีตสามห้อง พื้นที่กว่า 2,500 ตารางฟุต และยังมีระเบียงกว้างขนาด 1,000 ตารางฟุตสำหรับ ชมวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบเจนีวาในแบบพาโนรามาและเทือกเขาอัลไพน์

อันดับ 9 ห้องรอยัล สวีต โรงแรมโฟร์ ซีซั่น จอร์จ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ราคา 4.8 แสนบาท มีห้องสวีต 2 ห้องที่แบ่งเป็นห้องนอนและอีกห้องเป็นห้องเพื่อใช้สังสรรค์สำหรับแขก

อันดับ 10 ห้องอิมพีเรียล สวีต โรงแรมปาร์ก ไฮแอตต์ เวนโดม กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ราคา 4.65, แสนบาท บนชั้น 2 ของโรงแรม มีห้องสปาส่วนตัวที่กว้างขวางถึง 750 ตารางฟุต รวมทั้งอ่างน้ำวน สตีมรูม และเตียงสำหรับนอนนวด