25 สัตว์น้ำรูปร่างหน้าตาประหลาด


คนส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงมหาสมุทรพวกเขาอาจคิดถึง ปลาวาฬ ปลาโลมา ปลาฉลาม และสัตว์อื่น ๆ ในขณะที่คุณดำดิ่งลึกลงไปใต้ทะเล ที่ๆน้ำได้รับแรงกดดันสูง อุณหภูมิลดลง สิ่งมีชีวิตที่คุณเห็นก็จะดูแปลกประหลาดมากขึ้น ถ้าคุณไม่เชื่อมาดูกัน

Longhorn Cowfish


มันดูสีเหลืองสดใสคล้ายกับตัวการ์ตูนโปเกมอน บางคนมองว่ามันดูน่ารัก แต่เจ้าตัวน้อยตัวนี้เป็นอันตรายมาก มันสามารถปล่อยสารพิษออกมาทางผิวหนังเมื่ออยู่ภายใต้ความเครียด

Flying Gurnard


Flying Gurnards มีครีบขนาดใหญ่ซึ่งผิดสัดส่วนกับขนาดตัวของมัน มันไม่สามารถบินได้ตามชื่อของมัน

ดาวตะกร้า Basket Star


มันเป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลแปลกประหลาดที่ดูคล้ายกับดาวเปราะและเป็นสัตว์ที่มีอายุขัยได้ถึงกว่า 35 ปี

Red Flashing Jellyfish


มันถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ มันมีอวัยวะคล้ายหนวดที่ปล่อยแสงสีแดงซึ่งจะใช้เพื่อล่อเหยื่อของมัน  นักวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นมากว่าเป็นการค้นพบครั้งแรกที่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังสามารถปล่อยแสงสีแดงออกมา และก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนว่าสัตว์ที่อยู่ใต้ทะเลลึกจะสามารถปล่อยแสงสีแดงออกมาได้

Black Swallower


มันสามารถกลืนปลาที่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของตัวมัน แถมตัวมันยังใสมองเห็นปลาที่มันกินเข้าไปอีก

มังกรทะเลใบหญ้า Weedy Seadragon


สามารถพบในน่านน้ำของออสเตรเลียในมหาสมุทรอินเดียตะวันออก ชื่อของมันมาจากรูปร่างที่คล้ายใบหญ้าของมันที่ใช้ในการพรางตัวจากนักล่า มันเป็นญาติของม้าน้ำที่มีรูปร่างใกล้เคียงกัน มังกรทะเลใบหญ้าบางตัวมีขนาดวัดได้ถึง 18 นิ้ว

Sea Scorpion


มันเป็นสัตว์ขาปล้องที่สูญพันธุ์ไปแล้ว พบว่าฟอสซิลจำนวนมากมีการกระจายไปทั่วโลก

แมงกินลิ้น Tongue-eating Louse


มันดูเหมือนมนุษย์ต่างดาว เจ้าปรสิตตัวนี้จะไปเกาะที่ลิ้นของปลาและทำให้ลิ้นของปลาตัวนั้นฝ่อ  มันจะแนบตัวเองไปกับลิ้นและทำหน้าที่เป็นลิ้นของปลา ขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้มีตัวอะไรอย่างนั้นอยู่บนบก!

ปลาหน้าคน Matsuba Koi (human faced fish) 


มีบางสปีชีส์ที่มีหน้าคนบนหัวของมัน

Northern Stargazer


เจ้าตัวนี้ฝังตัวเองในทรายและอยู่รอซุ่มโจมตีเหยื่อของมัน

Roughback Batfish


มันดูคล้ายกับ seabats หรือ angler fishes แต่มันมีกระเปาะล่อเหยื่อหรือ Esca ที่แตกต่างจาก
anglerfishes คือไม่เรืองแสง

แอกโซลอเติล Axolotl


มันเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ใกล้สูญพันธุ์อยู่ในลำดับเดียวกับซาลาแมนเดอร์ ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อันเนื่องมาจากความสามารถในการงอกแขนขาของมัน มันเป็นสัตว์กินเนื้อ มันกินหนอน แมลงและปลาตัวเล็ก

ปลาแสงอาทิตย์ Sunfish 


ชื่อวิทยาศาสตร์ Mola mola เป็นปลากระดูกแข็ง ตัวเต็มวัยมีน้ำหนักเฉลี่ย 1,000 กิโลกรัม และบางตัวอาจหนักได้ถึงกว่า 2,000 กิโลกรัม มันกินแมงกระพรุนเป็นอาหาร และบางครั้งมันจะขึ้นมาที่ผิวน้ำเพื่อให้ปลาเล็กกินปรสิตที่อยู่ตามตัว อันเป็นที่มาของชื่อของมัน

Blue Dragon


มันมีรูปร่างคล้ายกับทากทะเล แต่มันอาศัยอยู่บรเวณผิวน้ำ

Sea Butterfly


น้ำทะเลที่เป็นกรดมากขึ้นคุกคามการอยู่รอดของพวกมัน

Yeti Crab


ตั้งชื่อตามตำนานตัวเยติ สัตว์ลึกลับอาศัยในป่าที่มีขนสีขาว สัตว์ทะเลลึกนี้อาศัยอยู่ในปล่องน้ำพุร้อนที่ด้านล่างของมหาสมุทร เพศผู้ชอบน้ำอุ่น เพศเมียและตัวอ่อนชอบน้ำเย็น

Leafy Seadragon


ตั้งชื่อตามสิ่งที่ยื่นออกมาคล้ายใบจำนวนมากทั่วร่างของมัน ทำหน้าที่พรางตัวจากนักล่า และยังเป็นสัญลักษณ์ทางทะเลของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย

Skeleton Shrimp


ตั้งชื่อตามรูปร่างที่คล้ายกับโครงกระดูก บางครั้งก็ถูกเรียกว่า Ghost Shrimp อีกด้วย

Firefly Squid


รูปร่างของมันก็เหมือนกับปลาหมึกทั่วไป แต่มันมีประกายระยิบระยับเหมือนกับหิ่งห้อยตามชื่อของมัน

Carpet Shark


รูปร่างของมันอธิบายได้ด้วยชื่อของมัน

Pink Handfish


เจ้าตัวนี้มีครีบที่ยื่นออกมาคล้ายมือตามชื่อของมัน มันเคลื่อนที่ไปรอบๆ พื้นทรายใต้ทะเลด้วยการเดินมากกว่าว่ายน้ำ

Sea Pig


พบในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียโดยทั่วไปที่ระดับความลึกกว่า 1,000 เมตร บางสายพันธุ์สามารถพบได้ในทวีปแอนตาร์กติก

Harp Sponge


มันอาจมีลักษณะเหมือนพืชใต้ทะเล แต่มันไม่ใช่แน่นอน ในความเป็นจริงมันเป็นฟองน้ำทะเลกินเนื้อที่อาศัยในน้ำลึก ซึ่งถูกค้นพบในปี 2012 โดยกลุ่มนักวิจัยจาก Monterey Bay Aquarium Research
Institute (MBARI)

Rock Tunicate


มักจะถูกว่าอ้างเป็นอาหารอันโอชะในประเทศชิลี ถ้าดูอย่างใกล้ชิด มันคล้ายกับอวัยวะที่อยู่ภายในหิน มันกินโดยการดูดน้ำที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์

Sarcastic Fringehead


สิ่งหนึ่งที่อาจกล่าวได้จากสิ่งมีชีวิตนี้คือมันดุร้าย เวลาที่มันสู้กัน มันจะใช้ปากที่อ้ากว้างดันกันไปมาเหมือนจูบกัน

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

20 พืชผักแปลกสายพันธุ์เก่าแก่


1. Forbidden Rice ข้าวสีม่วงต้องห้าม


ชื่ออื่นๆ Red quinoa, Madagascar pink rice
ข้าวจากประเทศจีน ที่เป็นสายพันธุ์หนึ่งของข้าวสีดำ เมื่อทำให้สุกแล้วมันจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม ข้าวนี้อุดมไปด้วยสารแอนโธไซยานินส์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็กและสังกะสี ชื่อข้าว Forbidden rice ที่แปลว่าข้าวต้องห้ามนั้นมาจากในอดีตจะมีเพียงกษัตริย์และราชวงศ์เท่านั้นที่จะได้กินข้าวนี้ ข้าวนี้น่าจะเป็นพันธุ์เดียวกับข้าวหอมนิลของไทยที่มีสีม่วงดำมีคุณประโยชน์สูง

2. Margenta Sunset Chard ผักชาร์ดก้านสีม่วง


ชื่ออื่น Flamingo chard, Rainbow chard
ผักชาร์ดเป็นผักสลัดอย่างหนึ่ง แต่สายพันธุ์นี้พิเศษตรงที่มันมีสีม่วงตรงก้านใบ สามารถทานได้ทั้งการนำไปทำให้สุก หรือทานสดๆโดยแช่เย็นเล็กน้อยก็อร่อยล้ำ สีสันที่สวยงามของมันก็ใช้ตกแต่งอาหารให้ดูน่ารับประทานได้

3. Dragon Tongue Bush Bean ถั่วแขกลิ้นมังกร


ชื่ออื่นๆ Golden wax bean, Royal burgundy beans
ถ้าแปลตรงตัวน่าจะแปลว่าถั่วแขกลิ้นมังกร ถั่วนี้เป็นถั่วพันธุ์เก่าแก่ของชาวดัตช์ มันมีสีม่วงแทรกกระจายอยู่ทั่วฝักถั่วที่มีพื้นสีเหลืองอ่อน สามารถประกอบเป็นอาหารได้ทั้งทานสดหนือนำไปผ่านความร้อน เช่นนำไปลวกทานเป็นเครื่องเคียงกับสเต็ก ใส่ในซุปหรือสตูว์ รสชาติของมันเป็นเอกลักษณ์

4. Watermelon Radish หัวแรดิชแตงโม


ชื่ออื่นๆ Black spinach radish, Brightest breakfast eadish
เจ้าหัวผักกาดนี้เมื่อผลใหญ่เต็มที่จะมีขนาดพอๆ กับลูกเบสบอล รสชาติของมันจะเผ็ดเล็กน้อย เนื้อสัมผัสนิ่มและฉ่ำน้ำกว่าหัวผักกาดทั่วไป ด้วยเปลือกที่มีสีเขียวและเนื้อด้านในสีชมพูสดด้วยลักษณะที่คล้ายกับแตงโมนี้จึงเป็นที่มาของชื่อของมัน หัวผักกาดทุกชนิดอุดมไปด้วย ascorbic acid หรือวิตามินซี กรดโฟลิค โพแทสเซี่ยม และยังเป็นแหล่งชั้นดีของแคลเซียม แมกนีเซียม และทองแดง

5. Weebee Little Pumpkins ฟักทองจิ๋ว


ชื่ออื่นๆ Amish pie pumpkins, Casper pumpkin
ฟักทองขนาดจิ๋วพันธุ์เก่าแก่ของอเมริกา มันมีขนาดเล็กเหมาะมือ รสชาติหวาน มีแคลเซียม แมกนีเซีม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนสูง นิยมเอาไปใช้เป็นที่ปักเทียนในงานวันฮัลโลวีน

6. Sweet Chocolate Peppers พริกหวานช็อคโกแล็ต


ชื่ออื่นๆ Bullnose sweet peppers, Purple beauty pepper
พริกหวานยักษ์สัช็อคโกแล็ตนี้จะมีสีเขียวก่อนแล้วค่อยๆ กลายเป็นสีแดงปนน้ำตาลเข้มคล้ายสีของช็อคโกแล็ตเมื่อมันสุก เนื้อในมีสีแดงสด รสชาติหวานอร่อยทานเป็นผักสลัด หรือผักเคียงที่กินคู่กับสเต็ก

7. Precoce d’Argenteuil Asparagus หน่อไม้ฝรั่งสีม่วง


ชื่ออื่นๆ Mary Washington asparagus
เป็นพืชผักสายพันธุ์เก่าของฝรั่งเศส มีรสชาติที่น่าประหลาดใจ นุ่มนวล เป็นพืชที่ทนทานและมีอายุได้หลายปี ช่วงที่ให้ผลผลิตได้ดีคือช่วง 2-3 ปีแรก ลำต้นมีสีเขียว ส่วนปลายมีสีม่วง

8. Japanese White Egg Eggplant มะเขือสีขาว


ชื่ออื่นๆ Rosa Bianca eggplant, Thai green eggplant
คล้ายกับมะเขือของบ้านเรา

9. Violetta Italia Cauliflower ดอกกะหล่ำสีม่วง


ชื่ออื่นๆ Romanesco cauliflower, Rosalind
สีของเจ้าดอกกะหล่ำสีม่วงช่างดูจัดจ้าน มันอุดมไปด้วยใยอาหาร โฟเลตและวิตามินซี และแน่นอนว่าสีม่วงที่พบในพืชผักผลไม้นั้นก็เป็นสารที่เราเรียกว่า แอนโธไซยานิน (anthocyanin) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีหลายเท่า ช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดและต้านโรคหัวใจ

10. White Star Sprouting Broccoli บร็อคโคลี่ดาวสีขาว


ชื่ออื่นๆ Purple sprouting Rudolph, Zamboni Rapini
บร็อคโลี่ที่มีดอกสีขาว ในบางสายพันธุ์ก็มีสีม่วงด้วย แต่พันธุ์สีขาวจะมีรสชาติที่หวาน และรสสัมผัสที่นุ่มกว่าพันธุ์สีม่วง พุ่มดอกของมันจะค่อยโตจากช่อเล็กๆ แล้วกระจายออก ไม่เป็นพุ่มเหมือนที่เราเห็นในบร็คโคลี่ทั่วไป มันอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเค วิตามินบี6 และวิตามินบี9

11. Gold Rush Zucchini ซุคคินี่สีเหลืองทอง


ชื่ออื่นๆ Costata Romanesco, Round zucchini
รสชาติอ่อนโยน ทานได้ทั้งแบบดิบและสุก

12. White Scallop Squash น้ำเต้าหอย


ชื่ออื่นๆ Golden custard patty pan, Patisson Panach? Vert e Blanc
มันอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ไนอาซิน วิตามินเอ และวิตามินซี

13. White Detroit Beetroot บีตรูทสีขาว


ชื่ออื่นๆ Burpee golden beet, Chioggia beet
ปกติแล้วหัวบีตรูทที่เราเห็นทั่วไปจะเป็นพันธุ์สีแดงเข้มเลือดนก แต่เจ้าพันธุ์นี้เป็นสีขาว

14. Blue Hopi Corn ข้าวโพดสีม่วง


ชื่ออื่นๆ Mandan Bride corn, Saskatchewan Rainbow Flint corn
สีม่วงนี้อุดมไปด้วยแอนโธไซยานิน

15. Purple Italian Globe Artichoke


ชื่ออื่นๆ Romanesco artichoke, Spined artichoke
อาร์ติโชคพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ดั้งเดิมของอิตาลี

16. Giant Red Celery เซเลอรี่ยักษ์สีแดง


ชื่ออื่นๆ Tender crispy celery, Golden Pascal celery
ส่วนก้านของมันมีสีแดง

17. Peter Pepper


ชื่ออื่นๆ Black Hungarian, Explosive ember
มีพบทั้งสีแดง สีเหลืองและสีส้ม

18. Purple Majesty Potato มันฝรั่งสีน้ำเงินม่วง


ชื่ออื่นๆ Mountain rose potatoes, Viking purple potatoes
สีม่วงนี้อุดมไปด้วยแอนโธไซยานิน รสชาติของมันเหมือนมันฝรั่งปกติ แถมสีม่วงนี้ไม่สูญสลายไปเมื่อผ่านความร้อน

19. Banana Legs Tomato มะเขือเทศสีเหลือง


ชื่ออื่นๆ Mr stripy tomato, White wonder tomato
รูปร่างของมันจะยาวรีสีเหลือง มันมีรสชาติหวานอร่อยสดชื่น ทานสดในสลัด

20. Loonar White Carrots แครอทสีขาว


ชื่ออื่นๆ Dragon purple carrots, Atomic red carrots
แครอทพันธุ์เก่าแก่ที่เราเคยเห็น หรืออยู่ในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจะมีพันธุ์สีม่วง พันธุ์สีเหลือง แต่แครอทพันธุ์สีขาวก็เป็นพันธุ์เก่าแก่เหมือนกัน และเนื่องจากมันไม่มีเม็ดสี จึงถูกมองว่าคุณค่าอาหารน้อยกว่าแครอทพันธุ์สีอื่นจึงไม่เป็นที่นิยม

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

10 วิธีขาวใสไม่พึ่งกลูต้าไธโอน


เมื่อกลูต้าไธโอนไม่ช่วยให้ผิวขาวใสได้นาน แถมยังพ่วงด้วยอันตรายต่อสุขภาพอีก วันนี้เราจึงขอนำเสนอเคล็ดลับเพื่อผิวขาวใสอย่างปลอดภัย ว่าแล้วไปดูวิธีบอกลาผิวหม่นหมองกันเถอะ

1. ขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป โดยใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือสครับจากธรรมชาติ เช่น มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว เพียงผสมส่วนผสมต่างๆ เข้าด้วยกันหรืออย่างใดอย่างหนึ่งกับเกลือแล้วขัดให้ทั่วตัว ผิวของเราก็จะกระจ่างใสกว่าเดิมแล้ว

2. ทาน้ำนมชนิดจืดลงบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยขัดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อยๆ ขาวขึ้น

3. ใช้ผลไม้รสเปรี้ยวเช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม ช่วยในการขัดขี้ไคล ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะผลไม้เหล่านี้มีความเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยทำความสะอาดและกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้

4. ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งเป็นประจำ เฉลี่ยวันละสองครั้ง ช่วงเช้าและก่อนนอน จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเนียนนุ่มและขาวขึ้นได้

5. ทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดทำร้ายผิวให้คล้ำเสียลงกว่าเดิม โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 20 นาที และควรทาซ้ำอีกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แค่นี้แสงแดดก็ทำอะไรผิวสวยๆ ของคุณสาวๆไม่ได้

6. ดื่มน้ำมากๆ และทานผลไม้ครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ จะช่วยให้ระบบขับถ่ายของร่างกายเป็นปกติ ส่งผลให้หน้าตา ผิวพรรณ สดใสขึ้นกว่าเดิม

7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยขับเหงื่อไคลและสิ่งสกปรกใต้ผิว รวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจำทำให้ผิวดูสว่างสดใสยิ่งขึ้น

8. ทานวิตามินซีให้เพียงพอต่อร่างกาย ไม่ว่าจะได้จากผลไม้หรือวิตามินซึแบบเม็ดตามร้านขายยา เพราะจะทำให้ผิวสดใสและขับถ่ายดีไปพร้อมๆ กัน

9. ใช้เมคอัพช่วยในการปรับสีผิวให้สว่าง โดยเลือกใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างเกินผิวจริง 1 ระดับ และหลังจากแต่งหน้าแล้ว ให้นำพู่กันแตะแป้งประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม หน้าก็จะดูสว่างใสขึ้นเยอะเลยทีเดียว

10. นอกจากการขัดผิวแล้ว สาวๆ ควรพอกหน้าและผิวกายสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเลือกสูตรที่ใช้วัตถุดิบที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา หากทำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผิวขาวและดูมีสุขภาพดีด้วย

ที่มา นิตยสาร LIVE
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

10 วิธีขาวใสไม่พึ่งกลูต้าไธโอน


เมื่อกลูต้าไธโอนไม่ช่วยให้ผิวขาวใสได้นาน แถมยังพ่วงด้วยอันตรายต่อสุขภาพอีก วันนี้เราจึงขอนำเสนอเคล็ดลับเพื่อผิวขาวใสอย่างปลอดภัย ว่าแล้วไปดูวิธีบอกลาผิวหม่นหมองกันเถอะ

1. ขัดผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป โดยใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือสครับจากธรรมชาติ เช่น มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว เพียงผสมส่วนผสมต่างๆ เข้าด้วยกันหรืออย่างใดอย่างหนึ่งกับเกลือแล้วขัดให้ทั่วตัว ผิวของเราก็จะกระจ่างใสกว่าเดิมแล้ว

2. ทาน้ำนมชนิดจืดลงบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยขัดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อยๆ ขาวขึ้น

3. ใช้ผลไม้รสเปรี้ยวเช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม ช่วยในการขัดขี้ไคล ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะผลไม้เหล่านี้มีความเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยทำความสะอาดและกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้

4. ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งเป็นประจำ เฉลี่ยวันละสองครั้ง ช่วงเช้าและก่อนนอน จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเนียนนุ่มและขาวขึ้นได้

5. ทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดทำร้ายผิวให้คล้ำเสียลงกว่าเดิม โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 20 นาที และควรทาซ้ำอีกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แค่นี้แสงแดดก็ทำอะไรผิวสวยๆ ของคุณสาวๆไม่ได้

6. ดื่มน้ำมากๆ และทานผลไม้ครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ จะช่วยให้ระบบขับถ่ายของร่างกายเป็นปกติ ส่งผลให้หน้าตา ผิวพรรณ สดใสขึ้นกว่าเดิม

7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยขับเหงื่อไคลและสิ่งสกปรกใต้ผิว รวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจำทำให้ผิวดูสว่างสดใสยิ่งขึ้น

8. ทานวิตามินซีให้เพียงพอต่อร่างกาย ไม่ว่าจะได้จากผลไม้หรือวิตามินซึแบบเม็ดตามร้านขายยา เพราะจะทำให้ผิวสดใสและขับถ่ายดีไปพร้อมๆ กัน

9. ใช้เมคอัพช่วยในการปรับสีผิวให้สว่าง โดยเลือกใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างเกินผิวจริง 1 ระดับ และหลังจากแต่งหน้าแล้ว ให้นำพู่กันแตะแป้งประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม หน้าก็จะดูสว่างใสขึ้นเยอะเลยทีเดียว

10. นอกจากการขัดผิวแล้ว สาวๆ ควรพอกหน้าและผิวกายสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเลือกสูตรที่ใช้วัตถุดิบที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา หากทำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผิวขาวและดูมีสุขภาพดีด้วย

ที่มา นิตยสาร LIVE
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

15 สายพันธุ์สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์


1. เสือดาวหิมะ (Snow Leopard)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Uncia uncia หรือ Panthera uncia
เสือดาวหิมะเป็นสายพันธุ์แมวขนาดปานกลาง มีถิ่นกำเนิดตามเทือกเขาในเอเชียกลาง มันมีจำนวนราวๆ 3,500 ถึง 7,000 ตัว

2. นกฟลามิงโก (Flamingos) 


นกฟลามิงโกเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ Phoenicopteridae และอยู่ในจำพวกPhoenicopterus มีนกฟลามิงโกอยู่ 4 สายพันธุ์ในอเมริกา

3. แพนด้ายักษ์ (Giant Panda)


ขณะนี้ทั่วโลกมีแพนด้ายักษ์อยู่ประมาณ 1,590 ตัว

4. หมีขั้วโลก (Polar Bear)


หมีขั้วโลกมีชื่อวิทยาสาสตร์ว่า Ursus maritimus มีถิ่นกำเนิดขนาดใหญ่อยู่ที่อาร์คติคเซอร์เคิลที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอาร์คติค

5. ปลามังกร, ปลาตะพัด, ปลาอะโรวาน่า (Arowana)


ปลามังกรเป็นปลากระดูกแข็ง อาศัยในน้ำจืด อยู่ในวงศ์ Osteoglossidae บางครั้งเรียกว่าปลาลิ้นกระดูก (Bonytongues)

6. แพะป่ามาร์คอร์ (Markhor)


มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capra falconeri มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน อินเดียเหนือ (ตะวันตกเฉียงใต้ของจัมมูและแคชเมียร์) ภาคเหนือและภาคกลางของปากีสถาน มีประชากรตัวเต็มวัยน้อยกว่า 2,500 ตัว ซึ่งยังลดลงอย่างต่อเนื่อง

7. เสือดาว (Leopard)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera pardus วงศ์ Felidae
จัดเป็นสายพันธุ์แมวขนาดใหญ่แต่มีขนาดเล็กที่สุดจาก 4 สายพันธุ์ อีก 3 สายพันธุ์คือ เสือ สิงโต และเสือจากัวร์

8.เสือเบงกอล, เสือโคร่ง, เสือลายพาดกลอน (Bengal Tiger)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera tigris tigris หรือ Panthera tigris bengalensis
เป็นเสือสายพันธุ์หนึ่งพบมากในอินเดีย ตามข้อมูลขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wide Fund for Nature-WWF) พบว่ามีเสือเบงกอลตามธรรมชาติอยู่ประมาณ 2,000 กว่าตัวทั่วโลก (1,411 ตัวในอินเดีย, 450 ตัวในบังคลาเทศ, 150 ตัวในเนปาล, 100 ตัวในภูฏาน ที่เหลืออยู่ในพม่า ไทย และจีน

9. ฮิโรลา (Hirola)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Beatragus hunteri หรือ Damaliscus hunteri
เป็นละมั่งสายพันธุ์หนึ่งพบในที่ราบป่าหญ้าแห้งที่อยู่ตรงชายแดนระหว่างเคนยาและโซมาเลีย ฮิโรลามีจำนวนวิกฤตที่จะสูญพันธ์ อยู่ประมาณ 500 ถึง 1,200 ตัวในธรรมชาติ

10. หมาใน, หมาแดง (Dhole)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuon alpinus
มีจำนวนประมาณ 2,000 ตัวที่อาศัยอยู่ในป่า

11. หมาจิ้งจอกแดง (Red Fox)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Vulpes vulpes
เป็นสายพันธุ์หมาป่าขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ ยูเรเชีย และแอฟริกาเหนือ

12. เพนกวินมาเจลลัน (Magellanic penguin)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Spheniscus magellanicus
อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ เช่นชายฝั่งทะเลของอาร์เจนติน่า ชิลี และ หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ และบางส่วนที่ย้ายถิ่นฐานไปบราซิล

13. กระรอกบินนัมดาฟา (Namdapha Flying Squirrel)

ชื่อวิทยาศาสตร์  Biswamoyopterus biswasi
มันอาศัยอยู่บนต้นไม้ ออกหากินกลางคืน มีถิ่นฐานที่อินเดีย

14. หมาป่าหิมาลายัน (Himalayan Wolf)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Canis himalayensis
เป็นสายพันธุ์หมาป่าที่กำลังวิกฤตสูญพันธุ์ มีจำนวนประมาณ 350 ตัว

15. นกเงือกนาร์คอนแดม (Narcondam Hornbill)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhyticeros narcondami อยู่ในวงศ์ Bucerotidae
เป็นสายพันธุ์หนึ่งของนกเงือก อาศัยอยู่เฉพาะที่เกาะอินเดีย ในหมู่เกาะอันดามัน

แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com

10 อันดับอาหารหม้อไฟของญี่ปุ่น


เข้าหน้าหนาวอาหารหม้อไฟเป็นที่นิยมอย่างสูง รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์ได้ทำการสำรวจความเห็นจากนักเขียนนิตยสารด้านหม้อไฟของญี่ปุ่น จนได้ออกมาเป็น 10 อันดับหม้อไฟประจำท้องถิ่น โดยให้ดาราที่เป็นแขกประจำของรายการทำภารกิจทาน 10 หม้อไฟนี้ให้หมด มาดูกันว่ามีหม้อไฟอะไรกันบ้าง

อันดับที่ 10 หม้อไฟเครื่องในกับมะเขือเทศ


หม้อไฟที่เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ร้านหม้อไฟสไตล์ฟุกุโอกะที่หาทานได้ในชิบุย่า มีเมนูหม้อไฟให้เลือกถึง 8 ชนิด สำหรับหม้อไฟมะเขือเทศที่ร้านนี้แนะนำนั้นในปี 2009 เป็นที่นิยมในหมู่คุณผู้หญิงสุดๆ จนกลายเป็นเมนูใหม่ของร้านหม้อไฟทั่วไป นี่คือหม้อไฟเพื่อความงามอย่างแท้จริง เพราะมะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซีและสารไลโคปีนที่ช่วยป้องกันการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมเร็วด้วย นอกจากนี้ยังใส่เครื่องในที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนและมีโปรตีนสูง แถมยังมีไขมันต่ำไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหม้อไฟเพื่อสุขภาพและความงามที่สาวๆ ชื่นชอบ และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุปก็จะใส่ชีสและเครื่องเทศและข้าวลงไปกลายเป็นรีซ็อตโต้ข้าวที่ชุ่มไปด้วยน้ำซุปมะเขือเทศรสเข้มข้น

อันดับที่ 9 หม้อไฟมิโสะเผ็ดหมูดำ


หม้อไฟแบบเผ็ดสุดฮิตที่ใช้หมูดำชั้นดีจากจังหวัดคาโกชิม่าเป็นส่วนผสม หม้อไฟจากร้านนาเบะชิมะอิจิโร่เป็นร้านที่ขายหม้อไฟโดยเฉพาะและมีหม้อไฟให้เลือกถึง 10 ชนิดด้วยกัน ส่วนเมนูหม้อไฟที่อยู่ในอันดับที่ 9 นี้ดัดแปลงมาจากชาบูชาบูหม้อดำในท้องถิ่น น้ำซุปที่ใช้ก็ผสมมิโสะสี่ชนิด

อันดับที่ 8 หม้อไฟนกเป็ดน้ำ


หม้อไฟแสนอร่อยชื่อดังที่มีคิวยาวสุดๆ จากจังหวัดไซตามะ หม้อไฟนกเป็ดน้ำโคชิกายะกับต้นหอม ช่วงที่สามารถทานนกเป็ดน้ำได้คือช่วงจัดงานผลผลิตแห่งเมืองโคชิกายะ นกเป็ดน้ำมีรสสัมผัสที่เหนียวนุ่ม ไม่มีกลิ่นคาว ต้นหอมก็อวบ อร่อย และช่วยให้น้ำซุปมีรสหวาน และเมื่อทานหมดแล้วเหลือน้ำซุป ก็สามารถสั่งเส้นอุด้งมาทานต่อกับน้ำซุป ซึ่งเส้นก็จะซึมซับน้ำซุปที่มีความเข้มข้น

อันดับที่ 7 หม้อไฟเกี๊ยวซ่าอุซุโนะมิยะ


เรามากันที่จังหวัดโทชิกิกับหม้อไฟแสนอร่อยราคาถูกที่ใครๆก็ยอมรับ ใช้เกี๊ยวซ่าจากร้านคิอะรันเสะซึ่งเป็นร้านเกี๊ยวซ่าชื่อดังของอุซุโนะมิยะ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่นะมุโกะนันจะทาวน์ในอิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมที่รวมเอาเกี๊ยวซ่าจากทั่วประเทศมาขาย นี่เป็นหม้อไฟยอดฮิตจากร้านอุซุโนะมิยะคิระเซะ ใช้เกี๊ยวซ่าโกราคุ ซึ่งเป็นเกี๊ยวซ่าที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการจัดประกวดที่อิเคะบุกุโระเกี๊ยวซ่าสเตเดี้ยมแห่งนี้ เกี๊ยวซ่าโกราคุทานกับอาหารทะเลตามฤดูกาลในน้ำซุปคอมบุในหม้อไฟนี้เป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ

อันดับที่ 6 หม้อไฟคิริทัมโปะคอลลาเจน


หม้อไฟจากจังหวัดอาคิตะที่เชื่อกันว่าทานแล้วผิวจะนุ่มลื่น จากร้านกินซ่าฮินายะ ซึ่งจะใส่คอลลาเจนก้อนที่ได้จากไก่ฮิไน คิริทัมโปะ(ข้าวสวยอัดเป็นก้อนเสียบไม้ย่าง)  และใส่เนื้อไก่ฮิไนแบบเป็นชิ้นและแบบสับเป็นก้อนลูกชื้นบะช่อ เนื้อไก่ฮิไนเคยได้รับเลือกในการแข่งขันโอลิมปิคอาหารที่เยอรมันอีกด้วย น้ำซุปที่ใช้ก็เป็นน้ำซุปไก่ใส่ซอสโชยุแถมยังมีความเข้มข้นจากคอลลาเจนอีกด้วย คิริทัมโปะก็ซึมซับน้ำซุปได้เป็นอย่างดี

อันดับที่ 5 หม้อไฟผักนึ่งเพื่อสุขภาพ


เราไปกันที่โตเกียวเพื่อสุขภาพแบบสุดๆ กับสไตล์ที่เปลี่ยนไป ร้านที่ว่านี้ตั้งอยู่ที่เมกุโระ ร้านทาเรโนะฮิ เป็นผักหลายชนิดนึ่งอยู่ในหม้อนึ่งทำให้สารอาหารและวิตามินยังอยู่เกือบครบ แถมความอร่อยยังอยู่เต็มเปี่ยม จุดเด่นอีกอย่างคือซอสทั้งสิบชนิดที่ทำจากวัตถุดิบต่างๆ ที่สามารถเลือกนำมาทานได้ และน้ำซุปที่ได้จากการนึ่งยังเอามาทานต่อด้วยการใส่พาสต้าแบบเส้นเล็กกับไข่ปลาเมนไตโกะลงไป

อันดับที่ 4 หม้อไฟฮอกไกโดจังโกะ


หม้อไฟจากฮอกไกโดมากันที่ร้านอิชิการิกาวะย่านชินจูกุ จุดเด่นของร้านคือสามารถลิ้มรสความอร่อยของสัตว์ทะเลท้องถิ่นในฤดูกาลของฮอกไกโดซึ่งเป็นร้านที่ว่ากันว่าปลาอร่อยมากเป็นหม้อไฟที่รวบรวมของอร่อยของฮอกไกโดเอาไว้ เป็นเมนูที่ดัดแปลงจากอาหารของชาวประมงท้องถิ่น หม้อไฟนี้รวบรวมเอาวัตถุดิบอาหารทะเลที่สุดยอดเอาไว้ปลายอย่าง มีความโดดเด่นของน้ำซุปที่ได้ความหวานจากเนื้อปู เมื่อทานหมดแล้วก็ปิดท้ายด้วยข้าวต้มแบบเรียบง่ายที่ใส่ข้าวกับไข่ที่ตีแล้วลงไป

อันดับที่ 3 หม้อไฟแกงกะหรี่จิโดริเนียว


หม้อไฟแสนอร่อยจากจังหวัดมิยาซากิ จากร้านจิโดริเนียวที่มีหม้อไฟให้ลองมากกว่าสิบชนิด ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟที่ใช้น้ำซุปที่ทำจากปลาคัตสึโอะ โชยุ มิโสะข้าวสาลี มิโสะเผ็ด และเครื่องเทศแกงกะหรี่ ได้รสชาติที่นุ่มนวลแต่เข้มข้นด้วยความหอมจากเครื่องเทศแกงกะหรี่ ส่วนวัตถุดิบในหม้อไฟก็มีทั้งเนื้อหมู ไก่ และผักหลากหลายชนิดเช่นผักกาดขาว ต้นหอม หน่อไม้ เห็ด เมื่อกินหมดก็ปิดท้ายด้วยรีซ็อตโต้ที่ใส่ข้าวกับชีสลงในน้ำซุป

อันดับที่ 2 หม้อไฟกิมจิหอยนางรม


หม้อไฟที่ใส่หอยนางรมสดๆ จากร้านกินซ่าคานาวะที่มีสาขาใหญ่อยู่ที่จังหวัดฮิโรชิม่า สามารถลิ้มรสหอยนางรมที่สดใหม่จากหอยนางรมที่เพาะเลี้ยงไว้ได้ทุกวัน ส่วนหม้อไฟที่แนะนำนี้เป็นหม้อไฟรสเผ็ดที่มีรสชาติแบบเกาหลีเพราะใส่กิมจิลงไปด้วย แถมยังสามารถลิ้มลองหอยนางรมดิบแบบสดๆ ก่อนทานแบบหม้อไฟได้ด้วย

อันดับที่ 1 หม้อไฟไก่ชาโมร็อกคุเซมเบ้


หม้อไฟต้นตำรับจากจังหวัดอาโอโมริ หม้อไฟพื้นเมืองแสนอร่อยในประวัติศาสตร์ จากร้านองจิกิทาจิกาวายะ หม้อไฟที่ถือกำเนิดจากอาโอโมริเป็นที่แรก และยังเป็นของพื้นเมืองของที่นั่นอีกด้วย เป็นหม้อไฟที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสที่พิเศษที่สุด แปลกตรงที่ใส่น้ำซุปชาโมร็อกคุเซมเบ้ เวลาทานก็หักขนมเซมเบ้ (ข้าวเกรียบแบบญี่ปุ่น) ลงไปในหม้อ ส่วนชาโมร็อกคุเป็นชื่อของเนื้อไก่ในท้องถิ่นของอาโอโมริที่มีมาตรฐานระดับเดียวกับไก่นาโกย่าโคจิน การใส่เซมเบ้ลงไปในหม้อไฟของที่นี่ทานกันมานานตั้งแต่สมัยเอโดะ และหม้อไฟนี้ยังได้รับรางวัลชนะเลิศอาหารท้องถิ่นเกรดบีมาสามปีซ้อน ส่วนน้ำซุปที่เหลือก็ใช้ทำข้าวต้มเครื่องที่ตีแล้วใส่ลงไปพร้อมต้นหอมนิดหน่อย

ที่มา รายการโกโกริโกะเกมกึ๋ยส์
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  http://megatopic.blogspot.com